เช้าวันจันทร์ ที่ 28 ธันวาคม 2552
ลาก่อนซาน ฟรานซิสโก สวัสดีอริโซน่า
เราทั้งสองตื่นแต่เช้า ประมาณตี 5เห็นจะได้จากเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้
โดยปกติแล้วเราจะเป็นคนตื่นก่อน ส่วนลีอองจะคงนอนฟังเสียงนาฬิกาปลุกต่อไปอีก 10-15 นาที พัตไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่นอนต่ออย่างเป็นสุขโดยไม่มีเสียงนาฬิกา แล้วตื่นเมื่อได้ยินเสียงปลุกซึ่งจะทำให้หลับได้สนิทได้นานขึ้น เคยทะเลาะกันหลายครั้งเรื่องนี้ จนเลิกพูดไปแล้ว ปัญหานี้จึงยังดำเนินต่อไป เราอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อเรียกความสดชื่น เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องบอกลาซาน ฟรานซิสโก เราใช้เวลาที่นี่ 5 วัน วันนี้จะเดินทางไปอริโซน่า หลังจากที่ฝากไปรษณียบัตรเพื่อส่งให้เพื่อนในเมืองไทยและเพื่อนชาวอเมริกันบางคนที่เคาเตอร์ของโรงแรมแล้ว เราทั้งสองก็ลากกระเป๋ามาที่รถไฟใต้ดิน ซึ่งห่างจากโรงแรมที่พักประมาณบล็อกกว่า ๆ เราเดินผ่านจุดเริ่มต้นของรถราง (cable car) ของเมืองที่สถานี Union square ผู้คนยังไม่พลุกพล่านนักแม้ว่าเป็นเช้าวันจันทร์เพราะว่ายังมืดอยู่ ประมาณหกโมงกว่า ๆ เห็นจะได้ ถ้าเป็นเวลากลางวันสถานีนี้จะคึกคักมาก ผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วแล้วเข้าคิวรอรถรางยาวเหยียด ตอนที่เรามาวันแรกเห็นคิวแล้วก็นึกสงสัยว่าพวกเขาทำอะไรกัน ที่ซาน ฟรานซิสโกรถรางจะเป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยวมาก เป็นสัญลักษณ์ของเมือง โดยหากนั่งครั้งเดียวราคาอยู่ที่คนละ 5 เหรียญ แต่เขาก็มีตัวเลือกให้เพื่อความประหยัด โดยมีตั๋วสำหรับ 3 วัน ราคาอยู่ที่ 11 เหรียญ โดยจะขึ้นลงกี่รอบที่สถานีไหนก็ได้ ส่วนพวกเราไม่ได้วางแผนสำหรับเดินทางโดยรถรางมาก่อนเพราะได้ซื้อทัวร์ไว้ล่วงหน้า กะว่าเสร็จจากทัวร์แล้วคงเหนื่อย คงไม่มีเวลาขึ้นแน่ ๆ แต่ก็ลงเอยด้วยขึ้นรถรางสองครั้ง (สองคน) เลยปาเข้าไปยี่สิบเหรียญ
เมื่อมาถึงรถไฟใต้ดิน หนุ่มไร้บ้านคนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะใช้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นบ้าน บอกว่าบันไดเลื่อนเสีย คุณผู้หญิงคงต้องเดินลงบันไดเอง กระเป๋าคงจะหนักน่าดู แน่ะ! เรียกเราว่าคุณผู้หญิงเสียด้วย มารยาทเกินงามน่าดู พูดแล้วก็ทำท่าทางเหมือนจะเข้ามาช่วย ลีอองรีบกล่าวขอบคุณแล้วลากกระเป๋าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเช้านั้นทั้งเช้า หนุ่มคนนี้คงจะบอกกับคนทุกคนที่ผ่านมาว่าบันไดเลื่อนเสีย ช่างทำหน้าที่ได้ดีจริง ๆ โดยไม่ต้องมีค่าจ้าง หรือใครจะให้ด้วยความเต็มใจก็ไม่ว่ากัน เมื่อลงมาถึงสถานีได้ เรามีตั๋วที่ต้องเติมเงินจากการใช้ครั้งก่อน เลยไปเล็ง ๆ ที่เครื่องขายตั๋ว โดยพัตยกให้เป็นหน้าที่ของลีออง ลีอองวิ่งไปถามเจ้าหน้าที่ที่ดูเหมือนว่าหน้าตาจะยังไม่ตื่นสักเท่าไรว่า “Can we refill money on the non-permanent card?” “Yes you can, but you have to insert the card then your credit card" เจ้าหน้าที่แอฟริกัน- อเมริกัน คนนั้นตอบ ในที่สุดก็เติมเงินสำเร็จโดยเติมเท่าที่ต้องการให้มาถึงสนามบินซาน ฟรานซิสโก (SFO airport) เท่านั้น เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาที ก็มาถึงสนามบิน จากนั้นก็ต้องต่อรถคอมพิวเตอร์ (พัตเรียกเอง) เพราะว่ารถไฟขบวนสั้นขบวนนี้ไม่มีคนขับ โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นเสียงผู้หญิงคอยบอกว่า ประตูกำลังจะปิด และบอกว่าเป็นเทอร์มินอลอะไร โดยจะมีเสียงตลอดเวลา พัตจึงบอกกับลีออกว่า หล่อนชั่งพูดจริง ๆ เมื่อเข้ามาถึงสนามบินได้ก็เห็นคิวยาวเหยียด พัตไม่เคยเห็นคนรอคิวเยอะแบบนี้มาก่อน ได้ยินเสียงผู้คนบ่นแบบเดียวกัน หลังจากที่เดินตัดคิวเพื่อเข้าไปยังสายการบิน South west ซึ่งเป็นสายการบินโปรดของเราทั้งสอง เพื่อที่จะเช็คอินกระเป๋า ส่วนเราทั้งสองได้เช็คอินทางอินเตอร์เน็ตจากโรงแรมแล้ว จะพูดไปแล้วสายการบินนี้นอกจากความสนุกสนานและเป็นมิตรจากเจ้าหน้าที่บนเครื่องแล้ว กระเป๋ายังบินฟรี พัตได้ให้คำขวัญเองว่า Fun-Friendly Airline ส่วนโฆษณาทางทีวีที่ได้ยินติดหูคือ Bags Fly Free-Grab your bag…it’s on! โดยตัวโฆษณาทำได้น่ารักดี มีผู้บริหารของบริษัทและพนักงานขนกระเป๋าเป็นผู้แสดง ลีอองได้ใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการจะเช็คอินกระเป๋าด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการบริการตัวเองอีกอันหนึ่งของอเมริกา ชาติที่ขึ้นชื่อทาง Self-Service นอกจากการเติมน้ำมันด้วยตนเอง เช็คเอาท์ที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยตนเองแล้ว อย่างไรก็ตามหลายสนามบินทั่วโลกก็มีบริการแบบนี้เช่นกัน
เราพยายามเดินหาจุดเริ่มต้นของคิว เพราะคิดว่าน่าจะเป็นการเข้าคิวเพื่อเข้าจุดตรวจเพื่อเช็คความปลอดภัย แต่ก็หาไม่เจอเพราะยาวมากจนออกไปนอกตึก คิดอีกทีหรือว่าเขามีรายการโชว์หรือไร เพราะเห็นช่างกล้องคล้าย ๆ กำลังถ่ายทำอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็ตัดสินใจถามว่าคนเขาเข้าแถวทำอะไรกัน เพราะว่าไม่ต้องการเข้าคิวแล้วไม่ใช่คิวที่เราต้องการก็จะเสียเวลามาก ในที่สุดก็พบว่าผู้คนเข้าคิวเพื่อเข้าจุดตรวจความปลอดภัยนั่นเอง สาเหตุอันเนื่องจากว่าก่อนหน้าที่อาทิตย์กว่า ๆ หนุ่มชาวไนจีเรียพยายามจุดไฟบนเครื่องบิน ทางสนามบินจึงเพิ่มความเข้มข้นในการตรวนมากกว่าปกติมาก ซึ่งโดยปกติก็แทบจะต้องถอดเสื้อผ้าอยู่แล้ว จะต้องเอาผ้าพันคอออก ถอดรองเท้า ถอดเข็มขัด ถอดแจ็คเก็ต เอาแล็ปท๊อปออกมา ส่วนของเหลวแต่ละชิ้นก็ต้องไม่เกิน 3 ออนซ์ ทั้งนี้แล้วแต่สายการบิน และจะต้องบรรจุในถุงใสที่กำหนด ที่จริงแล้วเรามาถึงสนามบินก่อนเวลามาก กำหนดเครื่องออกอยู่ที่ 10.30 แต่มาถึงประมาณ 7.30 โชคดีที่คืนก่อนนี้ลีอองได้เช็คข่าวและรู้มาว่าทางสนามบินจะตรวจเข้มมาก และบอกว่าเราต้องมาให้เร็วกว่าเดิมให้มากกว่าที่เคยวางแผนไว้ เดินหาต้นตอของคิว ในที่สุดก็เจอ ในขณะที่อยู่ในแถวนั้น มีบางคนพยายามที่จะเข้ามาตัดแถว พวกเราก็เลยบอกว่าให้ไปต่อแถวข้างหลัง บางคนก็มีสีหน้าตกใจเมื่อเข้ามาในตึกแล้วเห็นแถวยาวเหยียด ฝรั่งบางคนก็ใจดีโดยช่วยอธิบายคนที่เข้ามาในตึกใหม่ ๆ ว่านี้คือคิวเข้าเพื่อตรวจเช็คความปลอดภัย และหากคุณมีกระเป๋าให้ไปเช็คอินกระเป๋าก่อนแล้วไปต่อแถวข้างหลัง ข้างหน้าพัตมีเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง แต่งตัวแบบวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป แต่งหน้าเข้มแน่นอนว่าต้องมีมาสคาร่า เจาะหูเยอะมากหลายรู กางเกงยีนส์ที่เธอสวมใส่ก็ขาด แต่คิดว่าเธอคงไม่ได้ตั้งใจตัดกางเกงหรอก เพราะมีเข็มกลัดกลัดอยู่ และเธอมีชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งมาเข้าคิวด้วยและคอยบริการเธอตลอด เช่น ไปเข้าคิวซื้อกาแฟของร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งยาวเหยียดเช่นกัน พัตเองก็ได้กลิ่นกาแฟแล้วชวนให้ไปซื้อ ยิ่งเช้านี้ก่อนออกจากโรงแรมมา ทางโรงแรมยังไม่เอากาแฟมาตั้ง ส่วนเครื่องทำกาแฟในห้องลีออกบอกว่าไม่แน่ใจในความสะอาด..แหงละสิเจ้าพ่อความสะอาด! ก็เลยยังไม่มีกาแฟมาสร้างความกระปรี้กระเปร่า ครึ่งชั่วโมงผ่านไปซึ่งก็ถือว่าไม่นานนักในการรอ แล้วก็มาถึงจุดตรวจ แล้วชายหญิงสูงวัยคู่นั้นก็บอกลาเธอ (ครั้งที่ 1) เมื่อแถวเดินมาเรื่อย ๆ และถึงอีกมุมหนึ่ง เขาก็บอกลากันเป็นครั้งที่ 2 โดยหญิงสูงวัยคนนั้นได้ตะโกนเรียกชื่อเธอ แต่เธอไม่ได้ยิน ส่วนพัตได้ยินเต็มๆ ก็เลยสะกิดบอก ก็ทราบว่าพวกเขาเป็นคุณปู่คุณย่าของเธอ ที่เธอมาพักด้วยระยะหนึ่ง และยังกล่าวอีกว่าพวกเขาไม่ยอมบอกลาง่าย ๆ หรอก แล้วก็จริงของเธอเพราะพวกเขามายืนดูเธอซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจค้นและเธอมองไม่เห็นเมื่อพวกเขาโบกมือลาเป็นครั้งที่ 3 แม้ว่าจะแต่งตัวเป็นวัยรุ่นมากและเปรี้ยวน่าดู แต่เมื่อได้พูดกับเธอแล้ว ก็พบว่าเป็นคนน่ารัก และอัธยาศัยดี และเธอมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กครุ่นเดียวกับที่พัตมีและสีเดียวกันด้วยคือสีขาว หลังจากผ่านจุดตรวจอย่างทุลักทุเลน่าดู ลีอองยังอยู่ข้างหลังพัต และพัตได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ตรงเครื่องเอ็กซเรย์หัวเราะอย่างดังแล้วถามว่า “ฉันสามารถลูบหน้าท้องคุณได้หรือไม่” เพราะเสื้อของลีอองที่สวมอยู่นั้นเขียนว่า “ rub my tummy for good luck” ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเขาก็มีอารมณ์ขันเหมือนกัน ส่วนเจ้าลีอองก็หารองเท้าอยู่นานจึงเจอ เมื่อเข้าด้านในมาได้ ความหิวอาหารและกาแฟก็มาเยือนอีกครั้ง
ลีอองบอกว่า “hungry..big time!!” หมายความว่า หิวมากจริง ๆ และพูดอีกว่า “I can eat a horse” พัตก็เลยล้อว่า “I can eat elephant “ หมายความว่าพัตหิวกว่าเพราะช้างใหญ่กว่าม้า เมื่อถึงประตูที่ต้องการขึ้นเครื่องได้ พัตก็ตรงดิ่งไปยังร้านอาหารแนว Bistro รวมทั้งอาหารในแนวเอเชีย เช่น อาหารญี่ปุ่น และอาหารไทย หญิงสูงวัยเข้ามารับออร์เดอร์ “can I get you anything to drink?” เราสองคนตอบพร้อมกัน “Coffee please” หลังจากดูเมนูอยู่ไม่นาน ลีอองสั่งข้าวผัดญี่ปุ่นห่อไข่ ส่วนพัตต้องการสั่งข้าวผัดบิสโตรซึ่งใส่แฮมและซอสถั่วเหลือง ถั่ว และต้นหอม ดูไปก็เหมือนข้าวผัดบ้านเรา แต่กลิ่นไม่แรงเท่า หลังจากที่ไม่ได้ทานข้าวมาหลายวันที่อยู่ซาน ฟรานซิสโก วันนี้ก็ได้ทานสักที ท่าทางหญิงสูงวัยที่รับออร์เดอร์มีลักษณะคล้ายกับคุณยายของลีอองที่อยู่อริโซน่า พัตจึงถามว่าคุณเป็นคนญี่ปุ่นใช่หรือไม่ แต่ผิดคาดเพราะหล่อนเป็นคนฟิลิปปินส์ ที่นี้เมื่อสั่งกาแฟแล้ว เขาก็จะเดินมาเติมให้เรื่อย ๆ โดยคิดเงินแค่ครั้งเดียว เช้าวันนั้นพัตเติมไปสองครั้ง ก็อยากจะบอกว่าราคาเท่าไรเหมือนกันนะ แต่ลีอองเป็นคนจ่ายก็เลยจำไม่ได้ คงต้องถามลีอองอีกที นี่คือข้อเสียของการที่ไม่ทำอะไรเองทุกอย่าง หากมาด้วยกันสองคนเขาจะเป็นคนจ่ายเงินเสียส่วนใหญ่ เมื่อทานอาหารเสร็จก็เหลือเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าเครื่องจะออกแต่ที่นั่งรอที่ประตูที่เราต้องการจะขึ้นเครื่องถูกจองเต็มหมดแล้ว ก็เลยมานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้า แต่ก็ดีเสียอีกเพราะมีเอาท์เล็ตสามารถเสียบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กได้ ลีอองชอบดูเครื่องบินก็เลยไปยืนอยู่แถวหน้าต่าง ส่วนพัตก็เขียนบันทึกการเดินทางไปเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกให้มาเข้าแถวตรงกับหมายเลขที่จองไว้ให้ตรงกับเสาที่เขามีหมายเลขกำหนด ก็ได้คุยกับผู้ชายคนหนึ่งซั่งเข้ามาถามพัตว่าหมายเลขอะไรเพื่อเขาจะได้รู้ว่าจะยืนอยู่หน้าหรือหลังเราดี ก็ทราบว่าเขามาจากรัฐมิสซูรี่ และกำลังเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่ทู ซาน (Tucson) อริโซน่า ต้องไปต่อเครื่องที่ซาน ดิเอโกเช่นเดียวกับเรา พัตก็เลยบอกว่าพัตกำลังเดินทางไปทู ซาน เช่นเดียวกัน เขามองหน้าพัตแล้วถามว่าพัตมาจากไหน ส่วนลีออกตอบว่า แมสซาชูเสส เขาก็ยังทำหน้างง ๆ พัตก็เลยบอกว่าพัตเป็นคนไทยแต่มาแต่งงานและอยู่ที่แมสซาชูเสส เขาจึงได้พยักหน้าเข้าใจ
จากซาน ฟรานซิสโกมาที่ ซาน ดิเอโกใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ทันทีที่กัปตันเอาเครื่องขึ้นได้ เจ้าหน้าที่บริการบนเครื่องก็มาจัดการรับออร์เดอร์เครื่องดื่มทันทั และแจกพริสเซิล (ขนมกรบกรอบฝรั่ง จำได้ว่า ขนมนี้เคยติดคออดีตประธานาธิบดี จอช ดับเบิลยู บุชมาแล้วและเป็นข่าวดังไปทั่วโลก) หรือถั่วแล้วแต่ใครจะเลือก ส่วนพัตเลือกพริสเซิลและสั่งน้ำแอปเปิ้ล เครื่องบินบินเหนือเมืองซาน ดิเอโก เราทั้งสองพยายามมองหาตึกของบริษัทที่ลีออกทำงานอยู่ คือ บริษัทควอลควอมม์ (QUALCOMM) เพราะสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ แต่ก็หาไม่เจอ เมื่อเครื่องบินมาถึงซาน ดิเอโกก็รออีกไม่นานเครื่องก็จะออกเพื่อไปทู ซาน ขณะนั่งรอพัตก็อ่านหนังสือที่ติดมือมาจากบ้าน ระหว่างนั้นเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอเมริกันคนหนึ่งเข็นรถเข็นที่มีผู้หญิงสูงอายุนั่งมา คาดว่าน่าจะเป็นคุณย่า หรือคุณยาย พัตก็ชื่นชมว่าไม่ค่อยเห็นเด็กอเมริกันทำแบบนี้กันเท่าไรนัก ไม่นานนักหญิงคนนั้นก็บอกว่าหิว เด็กหนุ่มก็เลยเดินไปร้านอาหารใกล้กันนั้นแล้วยกเมนูขนาดใหญ่ที่วางไว้หน้าร้านเพื่อให้คนดูก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปในร้านมาให้ดู ใครเห็นก็ยิ้ม เพราะน่ารักดี เครื่องบินเที่ยวนี้เป็นเที่ยวที่มีผู้สูงอายุเยอะมาก เห็นได้จากรถเข็นที่มารอเพื่อขึ้นเครื่อง แต่ไม่รู้ว่าจำนวนเท่าใด คุยกับลีออง ๆ บอกว่าที่อริโซน่าจะมีบ้านพักคนชราที่มีชื่อเสียง คนสูงอายุที่อยู่รัฐอื่นก็ชอบมาอยู่ที่นี้เพราะสภาพอากาศของอริโซน่าเป็นแบบทะเลทราย คือแห้ง และเย็น ๆ ในฤดูหนาว แต่หน้าร้อนจะร้อนมาก คนที่ตอนเป็นหนุ่มเคยอยู่รัฐที่มีหิมะเยอะ ๆ ก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีรถเข็นสำหรับคนสูงอายุเยอะมากในเที่ยวบินนี้ พัตมาทราบเมื่อตอนที่เครื่องกำลังจะลงว่ามีรถเข็นทั้งหมด 15 คัน เพราะเจ้าหน้าที่ประกาศว่าคนที่นั่งรถเข็นให้รออยู่กับที่ก่อน เพราะเธอจะนำออกไปทีละคน เธอต้องการให้แน่ใจว่าทุกคนออกไปได้อย่างปลอดภัย และขอความร่วมมือให้นั่งอยู่กับที่เพื่อรอเธอ
เมื่อเครื่องบินมาถึงสนามบินเมืองทู ซาน (Tucson) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่พอ ๆ Phoenix รู้ว่าพ่อกับแม่ที่บินมาจากนิวยอร์ก และมารออยู่ที่บ้านป้าก่อนแล้ว รวมทั้งคุณป้าของลีอองมารับที่สนามบินตามที่นัดแนะกันไว้ ก็เลยบอกลีอองว่าขอตัวไปห้องน้ำก่อน เพื่อซับหน้า เช็คความเรียบร้อยก่อนที่จะเจอพวกเขา เมื่อลงบันไดเลื่อนมาเพื่อรอรับกระเป๋าก็เจอทุกคนพร้อมหน้ายืนฉีกยิ้มอยู่ โดยเฉพาะคุณแม่ พัตก็เข้าไปกอดแม่ ป้า และพ่อ แม่กอดแน่นมาก เหมือนคิดถึงมาก รวมทั้งหอมแก้มด้วยตามธรรมเนียมอเมริกัน แม่ได้จูงมือพัตเดินออกมา เพื่อนั่งรอลีอองและพ่อไปซึ่งกำลังไปรับกระเป๋าที่มากับเครื่อง แม่ได้ถามอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับทริปที่ซาน ฟรานซิสโก พัตไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก็เลยตอบว่า “it was awesome! But there are many places we haven’t visited” ส่วนพ่อกับลีอองก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋า พ่อเองก็อยากจะฟังเรื่องราวทริปของด้วย ลีอองช่วยพัตเล่า จนรถเช่าที่พ่อขับอยู่เกือบเกิดอุบัติเหตุ เพราะพ่อมัวฟังเพลินและลืมให้ทางกับรถที่มีสิทธิ์ผ่านไปก่อน ทุกคนก็เลยบอกว่าค่อยเล่าเมื่อถึงจุดหมายปลายทางดีกว่า และเราก็เห็นด้วย พ่อกับแม่รวมทั้งป้า ต้องการทำให้พัตประหลาดใจ โดยไม่ขับรถตรงไปบ้าน แต่กับไปจอดที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในทู ซาน ซึ่งพัตอยากทานมานานแต่ไม่เคยมีโอกาส ร้านอาหารญี่ปุ่นนี้ชื่อ RA ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าย่านแคมเบลล์ ของทู ซาน ซึ่งศูนย์การค้ามีแค่สองชั้นตามลักษณะของบ้านและตึกในแถบนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นแบบซานตาเฟ่ หลังคาราบเรียบ ทรงไม่สูงมากนัก พัตเดาว่าคงต้องหลบจากลมที่พัดแรงในแถบทะเลทรายที่โล่ง ลักษณะสีสันจะฉูดฉาดตัดกับสีน้ำตาล ชมพู เหลือง เข้ากับต้นกระบองเพชรได้ดี มีภูเขาอย่ด้านหลังเป็นแบ็คกราวด์ พัตชอบลักษณะอาคาร บ้านเรือนแบบนี้มาก เห็นทีไรก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองซ้ำ และหากมีโอกาสก็จะถ่ายรูปเก็บไว้ ตามความคิดของพัตหลังคาแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับบ้านเราที่แมสซาซูเสส เพราะหิมะจะติดอยู่บนหลังคา ละลายได้อยาก ทำให้หลังคาพังทลายได้
เข้ามาในร้าน RA ได้ก็เจอกับพนักงานต้อนรับที่เป็นอเมริกัน พัตก็คิดในใจว่าร้านอาหารญี่ปุ่นจริงหรือ แต่ก็มั่นใจเพราะป้ายืนยันว่าร้านนี้อร่อยจริงและราคาไม่แพง เมื่อได้ที่นั่งแล้วก็มองไปก็เห็นเชฟที่เป็นคนญี่ปุ่นก็วางใจได้ สภาพบรรยากาศภายในร้านค่อนข้างมืด เขาก็เลยมีโคมไฟเป็นทรงกลมสีแดง ห้อยอยู่ทั่วไป ดูแล้วเหมือนโคมไฟที่ลอยอยู่ในความมืด ก็ทำให้ดูเก๋อีกแบบ คุณแม่และป้ารวมทั้งพัตช่วยกันสั่งอาหาร เป็นอาหารปลา ซูชิ หัวกุ้งทอด สลัด และผักดอง อร่อยมาก ๆ และรู้สึกสดชื่นเพราะอยู่ที่ซาน ฟรานซิสโก ไม่ค่อยได้ทานผักเท่าไรนัก ส่วนเครื่องดึ่ม ทุกคนได้สั่งชาเขียวร้อนเพราะอากาศข้างนอกกำลังเย็น ๆ คุณป้า (ซึ่งทำหน้าที่เลขาให้คุณยายที่รออยู่ที่บ้าน และถือเงินของคุณยาย ) จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ประมาณ 130 เหรียญ ซึ่งทุกคนลงความเห็นว่าถูกมาก จากนั้นก็ขับรถต่อไปอีกไม่นานเพื่อซื้ออาหารในซุปเปอร์มาเก็ตกลับบ้าน ลีอองกับพ่อแยกไปซื้อไวน์ ส่วนพัต แม่ และป้าแยกไปซื้ออาหาร โดยพัตอาสาเข็นรถและหยิบถุงให้แม่และป้าเมื่อเขาต้องการ ป้าได้พูดกับพัตว่า “Leon’s mom is so sophisticated , she likes only organic food” (เธอหมายถึงน้องสาวเธอนั่นแหละ) และบ่นต่อว่ามันแพงกว่าอาหารทั่วไป แต่หารู้ไม่ว่าพัตเองก็ซื้อแต่ organic food เหมือนกัน พัตขอแถมด้วยการซื้อซาเลอรี่ และน้ำลูกพรุน (ที่ปลอดสารพิษ) เพราะไม่แน่ใจว่าระบบการย่อยอาหารจะปกติหรือไม่ จากการที่ต้องตื่นเช้าและเดินทางแบบนี้ ที่นี่คุณป้าก็เป็นคนจ่ายเงินอีกเช่นเคย พัตก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเธอบ่น ก็เพราะว่าเธอเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างในครอบครัว สามีที่เป็นทหารอยู่ในฐานทัพที่อริโซน่าเสียชีวิตไปนานแล้ว เธอมีลูกสองคน โดยลูกสาวชื่อ Bridget แต่งงานและอาศัยอยู่ใกล้กัน ส่วนลูกชายชื่อ Bryanเป็นเซลแมนขายรถอยู่ที่ Tucson นี้เอง อ้อ! ลืมบอกไปว่าทริปที่มาอริโซน่านี้ ถ้าเป็นนักมวยก็ถือว่าเป็นไฟท์บังคับ คือต้องมาทุกปี เป็นธรรมเนียม เพื่อเป็นการเยี่ยมคุณยาย เพราะคุณยายอายุมากแล้ว จะเกิดอาการเวียนศีรษะจากการเดินทางโดยเครื่องบิน พวกเราจึงต้องเดินทางมาที่นี่ช่วงคริสต์มาสของทุกปี ทุกอย่างฟรีหมด ตั้งแต่ค่าโดยเครื่องบิน ค่าจอดรถระยะยาวที่สนามบินใกล้บ้าน (long term parking) ค่าอาหารที่ไปทานข้างนอก แน่นอนที่สุดว่าพวกเราทานไวน์ด้วยทุกครั้งไม่ว่าจะทานอาหารที่บ้านหรือข้างนอก รวมทั้งสาเก (เหล้าญี่ปุ่น) และเบียร์ รวมไปถึงค่าซื้อของเวลาออกไปชอปปิ้งกัน เสร็จสิ้นภารกิจที่ซุปเปอร์มาเก็ต ก็มุ่งหน้ากลับบ้านป้า คือเมือง Huachuca city (อ่านว่า วะ- ชุ -คะ) ซึ่งตั้งห่างจากทู ซาน ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ชั่วโมงกว่า ๆ ชื่อเมืองและสถานที่แถบนี้จะออกเสียงแปลก ๆ เพราะเป็นภาษาสเปน เนื่องจากมีพรมแดนติดกับเม็กซิโก ซึ่งใช้ภาษาสเปน การอ่านก็ไม่ได้อ่านตามตัวอย่างที่เห็น อย่างเช่น เมืองที่ชื่อ San Jose อ่านว่า ซาน โฮเซ่ ไม่ใช่ ซาน โจส หรือ ซาน โจ เส (รูปป้าหน้าร้านอาหารญี่ปุ่น)
ช่วงถนนที่ขับผ่านที่จะไปบ้านคุณป้าคือ สาย 10 ตะวันออกและสาย 90 ไปทางทิศใต้ โดยเฉพาะ 90 นั้นจะเป็นถนนที่ตรงดิ่งเป็นพิเศษ เรียกว่าไม่ต้องจับพวงมาลัยก็ว่าได้ บางช่วงของถนนกำหนดความเร็วไว้ที่ 75 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่สามารถขับได้ถึง 85 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยไม่ผิดกฎหมาย ในขณะที่แมสซาชูเสสในลักษณะถนนทางหลวงแบบเดียวกันกำหนดไว้ที่ 65 mph พิสูจน์ได้ว่าถนนที่นี้ตรงมากจึงกำหนดความเร็วได้มากกกว่า คุณป้าเล่าว่า คุณยายยังบอกว่าขับรถได้เลย ยายบอกว่าไม่น่าจะขับยากบนถนนแบบนี้ แถมคุณยายยังบอกว่าต้องการใบขับขี่อีกด้วย จึงเป็นการเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ถนนสายนี้เป็นถนนที่ตัดผ่านทะเลทราย ไม่ค่อยมีบ้านคนมากนัก จะพบเป็นชุมชนเล็ก ๆ และปั๊มน้ำมัน ในบางช่วงเท่านั้น ในความคิดของพัตเมื่อเห็นปั๊มน้ำมัน ก็คือปั๊มน้ำมันที่เห็นในหนังคาวบอยในแถบทะเลทรายที่ดูตอนอยู่เมืองไทยนั่นเอง ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มกว่า ๆ ก็มองเห็นแสงไฟระยิบในความมืดอยู่ ไกล ๆ นั่นคือเมือง Sera vista เมืองศูนย์กลางของชุมชนในแถบนี้ตาม เพราะทะเลทรายที่โล่งแจ้ง เหมือนกับว่าอยู่ใกล้ ๆ แต่ขับรถเท่าไรก็ไปไม่ถึงสักที คุณป้าเล่าว่าหากหลังเวลาสี่ทุ่มไปแล้ว ต้องระวังให้ดีเพราะอาจชนชาวแม็กซิกันที่หนีเข้าเมืองโดยการเดินเท้าเพื่อเข้ามาทำงานผิดกฎหมายที่อเมริกา คุณป้ากับคุณแม่เกือบชนมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนพัตกับลีอองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้เช่นเดียวกันเมื่อพัตมาที่นี้ครั้งแรกในปี 2007 ชาวแม็กซิกันไม่สามารถเข้ามาโดยผิดกฎหมายโดยทางรถยนต์ได้เพราะบนถนนมีจุดตรวจทางทางการ
เมื่อมาถึงบ้านเป็นเวลาประมาณสามทุ่ม ปกติเป็นเวลาเข้านอนของคุณยายแล้ว แต่คุณยายก็รอยังไม่เข้านอนเพื่อรอพบหลานชายสุดที่รัก คุณป้าเล่าให้ฟังว่าคุณยายกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษเมื่อทราบกำหนดการที่เราจะมา ส่วนคุณแม่ก็ไม่เบาในขณะที่อยู่บ้านที่นิว ยอร์ค ก็อีเมลล์หาพัตไปกลับหลายรอบเพื่อวางแผนว่า พวกผู้หญิงอย่างเราจะทำอะไรกันบ้างที่อริโซน่า สิ่งหนึ่งที่แม่บอกไว้คือวันที่เรียกว่า “GDO = Girl Day Out” โดยคุณป้า แม่ และพัตจะไปช๊อปปิ้งกันที่ทู ซาน ส่วนผู้ชาย คือพ่อกับลีออง คุณป้าจะมอบหมายงานซ่อมแซมบ้านให้ หรือว่าต้องการไปเดินป่า ปีนเขาก็ตามใจชอบ พัตจึงบอกแม่ไปทางอีเมลล์ว่า “Sounds Great”
คุณยายลีอองเป็นชาวญี่ปุ่นมาอยู่อเมริกา เนื่องจากลูกสาวทั้งสองคนของคุณยายแต่งงานกับอเมริกันทั้งคู่ คุณยายพูดภาษาอังกฤษได้บ้างนิดหน่อย พัตเรียกยาย ว่า “Chaa-Co-Obaa-Chan” ลีอองพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้างนิดหน่อย ส่วนพัตภาษาอังกฤษลูกเดียว แต่ก็พยายามพูดช้า ๆ และใช้ภาษามือประกอบก็พอไปได้เมื่อไม่มีใครอยู่ช่วยแปล หลังที่เราทั้งสองกอดคุณยายเพื่อทักทายแล้ว ยายก็ยื่นซองของขวัญวันคริสต์มาสให้ ข้างในมีเช็คของขวัญของพัต และของลีอองแยกกันแต่จำนวนเงินเท่ากัน ยายจะให้ของขวัญทุกปี รวมทั้งวันเกิดด้วย ส่วนพ่อกับแม่ลีอองก็ให้เช็คของขวัญกับพัตเช่นเดียวกันเป็นเงินหลายร้อยดอลลาร์ พัตตั้งใจว่าจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ไว้ในห้องที่เป็นโฮมออฟฟิสที่บ้าน ไม่ต้องการใช้จ่ายเพื่อการส่วนตัว คืนนั้นพัตและลีอองได้ครอบครองห้องที่คุณป้าเคยนอน ส่วนคุณป้าก็ย้ายไปนอนห้องที่เป็นห้องสำรอง เข้านอนด้วยความเหนื่อยเนื่องจากเดินทางทั้งวัน ไปทานอาหารกับครอบครัว แล้วยังจะช็อปปิ้งอีก
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2552
วันแรกกับครอบครัว
ทุกคนตื่นแต่เช้า คุณป้า พ่อ และแม่ออกไปเดินออกกำลังกายบนถนนทางไปหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ด้านล่าง เนื่องจากบ้านป้าตั้งอยู่บนเนิน ลักษณะถนนเป็นถนนเล็ก ๆ เลียบไปกับถนนสายหลักของเมือง และมีภูเขาล้อมรอบเห็นอยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาจะเดินทุกเช้าประมาณ 45 นาที เป็นปกตินิสัย แม้ว่าอยู่บ้านนิว ยอร์คก็ตาม เมื่อก่อนมีหมาชื่อทาช่าออกไปเดินด้วย แต่หลังจากทาช่าเสียชีวิตไปเมื่อวันขอบคุณพระเจ้าปีที่แล้ว พ่อกับแม่ก็ต้องเดินด้วยกันสองคนแค่นั้น ทาช่าจะว่าไปแล้วก็สร้างความมีชีวิตชีวาให้พ่อกับแม่มาก เวลาออกไปเดินนั้น จะทาช่าชอบเก็บสตรอเบอรรี่ป่ากิน เป็นภาพที่น่ารัก มันจะรู้ว่าสตรอเบอรี่ลักษณะแบบไหนเหมาะที่จะกิน เพราะมิล่า น้องสาวลีอองซึ่งเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์เป็นผู้ฝึกให้ทาช่าเรียนรู้
เราทั้งสองตื่นมาเมื่อได้ยินเสียงพวกเขากลับมาจากเดินออกกำลังกาย เมื่อคืนนอนหลับเต็มที่และตื่นสายแบบนี้เลยรู้สึกสบาย แม่และป้าเตรียมอาหารเช้าให้ พ่อกับแม่ลีอองได้ชื่อว่าเป็นคนปลอดสารพิษ เพราะอาหารที่ทานต้องดีต่อสุขภาพและปลอดสารพิษ (organic food) เช้าวันนี้จึงประกอบได้ด้วย กาแฟของพัตและลีอองที่ป้าทำให้ ขนมปังโฮลหวีดปิ้ง เพลนโยเกิร์ตทานกับแอปเปิ้ลซอส เมเปิลเซรับและ Puffed Milled พีช แอปเปิ้ลและกีวี หลังจากอาหารเช้าแล้ว เราสองคนก็ซักช่วยกันซักผ้าที่สกปรกจากทริปที่ซาน ฟรานซิสโก จากนั้นก็เล่าเรื่องพร้อมกับโชว์รูปถ่ายจากทริปนั้นให้กับทุกคน เสร็จแล้วป้าและยาย ก็โชว์รูปถ่ายและวีดีโอสมัยลีอองเป็นเด็กเล็ก ๆ เป็นภาพครอบครัวที่น่ารักดี ที่ชอบมากที่สุดก็ที่ลีอองเล่นไวโอลินส่วนพ่อเล่นเปียโนและแม่ร้องเพลง เป็นภาพความสุขของครอบครัวที่ไม่สามารถบรรยายได้จริง ๆ อันที่จริงแล้วรูปและวีดีโอเหล่านี้บางรูป พัตดูมาแล้วเมื่อครั้งที่แล้วที่มาที่นี้ แต่ก็เพื่อไม่ไห้ยายเสียน้ำใจ ก็ต้องดูอีกครั้งและเออออไปกับยาย เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง ซึ่งที่นี้จะไม่ทานหรือทำอาหารที่หนัก เที่ยงนี้มีพวกเมล็ดถั่วรวมมิตร ผลไม้ เจอกีเตอร์กีทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ (หมายถึงเนื้อไก่งวงที่มาหมักซอสแล้วทำให้แห้ง คล้ายเนื้อเค็มบ้านเรา) ซึ่งพัตชอบมากที่สุด ป้ารู้ว่าเราชอบก็เลยทำไว้รอ นอกจากนี้ก็มีขนมปังกรอบกับชีส และแอปเปิ้ลไซเดอร์ หลังอาหารเที่ยง ซึ่งน่าจะเรียกว่าของว่างมากกว่า แม่กับป้าก็ช่วยกันทำแป้งพิซซ่า แม่บอกว่าเย็นนี้เราจะทานพิซซ่ากัน จะเป็นพิซซ่าผักซึ่งประกอบด้วยหอม พริกหยวก ครึ่งหนึ่งจะวางปลาแองโชวี่ทำเป็นหน้าพิซซ่า ปลาแองโชวี่จะเป็นปลาตัวเล็กที่บรรรจุกระป๋อง กลิ่นคล้ายปลาเค็มบ้านเราแต่กลิ่นไม่แรงเท่า ที่นี่เขาจะใช้ทำเป็นหน้าพิซซ่า ซึ่งพัตก็ขอบมาก แม่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม แต่ยังไม่อบ ส่วนพ่อซึ่งทำหน้าที่คล้ายผู้นำทัวร์ ได้ถามประชามติว่าใครเห็นด้วยว่าจะไปดูหนังเรื่อง “Invictus” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านเนลสัน เมนเดลล่า ใช้รักบี้เป็นตัวรวมความรักชาติของคนในประเทศแอฟริกาใต้ ปกติแล้วพัตชอบดูแนวโรแมนติคคอมมิดี แต่ก็ยกมือว่าจะไปดู ก็ดีเสียอีกที่ได้ดูหนังอีกแนว อีกอย่างต้องจำไว้ว่านี่คือการใช้เวลากับครอบครัว ส่วนคุณยายไม่ไปเนื่องจากไม่ชอบที่มืดและฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจทั้งหมด หนังจะโชว์เวลา 6.30 ช่วงเย็น เราทั้งห้าคน ออกจากบ้านเวลา 5.45 โดยพ่อเป็นคนขับรถเช่าที่มาจากสนามบินที่ทู ซาน ส่วนป้าบอกว่าไม่อยากให้รถบรรทุกหนัก จึงไม่ใช้รถป้าซึ่งเป็นรถแคมรี่ที่เพิ่งซื้อเมื่อต้นเดือนเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง พัตพูดกับลีอองว่าป้าคงยังเห่ออยู่ คอยดูปีหน้าเถอะว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อไปถึงโรงหนังพ่อเป็นคนไปซื้อตั๋วเองสำหรับทุกคน จึงทำให้ราไม่รู้อีกว่าราคาเท่าไร ส่วนพัตควักเงินสดออกมาเพื่อจะแชร์ พ่อบอกว่า “Dream on Pat!” หมายถึงว่าฝันไปเถอะพัตว่าพ่อจะให้จ่ายน่ะ ส่วนป้าเข้าไปสั่ง ป็อปคอร์นสำหรับทุกคน โดยได้ยินป้ากำชับว่า “ไม่เอาเนยนะ” บ้านนี่น่ะทุกอย่างต้องดีต่อสุขภาพ
เมื่อหนังจบพ่อถามว่า “How was it?” ในความคิดของพัตและทุกคนลงความเห็นว่าเป็นหนังที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเราทุกคนก็กลับมาบ้าน ป้าและแม่ตรงเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็นคือพิซซ่า ส่วนพัตก็เขียนบันทึกไปเรื่อย ๆ พ่อกับแม่แนะนำให้เขียนหนังสือหรือทำบล็อก ส่วนป้าบอกว่าพัตถ่ายรูปสวย รู้จักดูมุมกล้องน่าจะไปเรียนถ่ายรูปเพิ่มเติม ส่วนลีอองสนับสนุนให้พัตเขียนหนังสือและเรียนต่อด้านโภชนาการ เมื่อเขาเห็นว่าพัตใส่ใสเรื่องเกี่ยวกับสารอาหารและสามารถอธิบายได้เป็นขั้นเป็นตอน แต่ที่พัตทำได้ตอนนี้คือเขียนบันทึกแบบนี้เพื่อสำหรับตนเองได้จำได้ เพื่อพ่อแม่ พี่น้องและเพื่อนที่เมืองไทยได้อ่าน แม้ว่าจะมีภาษาอังกฤษปนอยู่บ้างก็ตาม มื้อนี้นอกจากพิซซ่าแล้ว ยังมีสลัดผักหรือกรีนสลัด ซึ่งเข้าได้ดีกับพิซซ่า พ่อเดินไปถามพัตกับลีอองที่ห้องพักว่า พัตทั้งสองต้องการเบียร์หรือไวน์ พัตขอเป็นไวน์ ส่วนลีอองต้องการเบียร์ เมื่อพัตออกมาก็พบว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว แก้วถูกเติมด้วยไวน์ หลังจากที่ “ชนแก้ว” แล้ว พัตจึงคุยกับยายว่า “You are having wine with us this evening” ทุกคนก็หัวเราะบอกว่า “we got ya!” หมายความว่า พวกเราหลอกคุณได้ เพราะในแก้วยายมันไม่ใช่ไวน์แต่เป็น Ginger Ale ซึ่งเป็นน้ำอัดลมชนิดหนึ่ง แต่ยายรินใส่แก้วเบียร์และชนแก้วกับพวกเราด้วย ยายช่างน่ารักจริง ๆ จะเป็นด้วยความหิวหรืออะไรก็ช่าง แต่พิซซ่ามื้อนี้อร่อยมาก ๆ (รูป : บ้านป้าด้านหน้าและด้านหลัง และบรรยากาศโดยรอบ)
วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2552
วันของผู้หญิง ๆ
เช่นเคยพวกเขาออกไปเดินออกกำลังกายกันมา ส่วนพัตไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นสายเลย แต่ก็ตื่นสายจนได้ ตื่นเมื่อได้กลิ่นกาแฟที่แม่ทำให้หลังจากกลับมาจากการเดินแล้ว พ่อกับลีอองรีบทานอาหารเช้าแบบรีบ ๆ เพราะเขาจะไปเดินป่า ปีนภูเขาที่ทู ซาน ต้องการให้ไปถึงที่นั่นสิบเอ็ดโมงเช้าเพื่อไม่ให้เริ่มต้นสายเกินไป ได้ยินมาว่าเขาทั้งสองกำหนดไว้ว่าจะเดินประมาณ 6 ไมล์ ซึ่งไม่ใช่ใกล้ ๆ เลย แม่เตรียมอาหารว่าง และน้ำดื่มให้เรียบร้อย แล้วทั้งสองก็สะพายเป้ขับรถออกจากบ้านไป ส่วนเราผู้หญิง 3 คน ก็จะเป็น girl day out เหมือนที่แม่สัญญาไว้ตอนอยู่ที่บ้านนิว ยอร์ค พัตก็ทานโอ๊ตมีลรองท้อง เพราะมีกำหนดการจะไปทานอาหารเที่ยงเป็นอาหารมังสวิรัติที่ปลอดสารพิษสไตล์อินเดีย ที่ทู ซาน ชื่อ “Govinda’s”
สิบโมงเช้าก็ออกจากบ้านเพื่อไปทู ซาน ออกเดินทางออกจากบ้านได้ไม่นานก็พบจุดตรวจ เห็นป้ายเขียนข้างรถที่จอดอยู่ว่า “Home Land Security” จุดตรวจนี้เป็นการตรวจผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองจากประเทศเม็กซิโกที่อยู่อีกฝั่งของภูเขาที่เห็นอยู่ด้านหลัง พัตต้องถอดแว่นกันแดดออก หยิบใบกรีนการ์ดออกมาเตรียมพร้อม แต่ที่ไหนได้เมื่อเปิดกระจกรถลง และเห็นสามสาวที่ (มีอายุ) หน้าตาก็ (น่ารัก)พอใช้ได้ เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นก็เลยถามว่า “How are you today?” ทุกคนตอบพร้อมกันว่า สบายดี เขาก็เลยบอกว่า “Have a good trip” พัตได้กวาดสายตาไปเห็นรถตำรวจสองคันที่หันหน้าออกถนน พร้อมที่จะไล่ล่าทุกเมื่อ ถึงว่าสิ ทำไมตอนดึกจึงมีชาวเม็กซิกันลอบเดินเท้าเข้ามาเพื่อหลบจุดตรวจนี้นี่เอง
เมื่อเดินทางมาถึงร้านอาหารมังสวิรัติดังกล่าว พบว่าร้านยังไม่เปิด ร้านนี้จัดหน้าร้านได้สวยงามไม่ซ้ำแบบใคร เนื่องจากมีนกแก้วพูดได้สองตัวอยู่ในกรง และสามารถโต้ตอบกับพวกเราได้ มีนกยูงอีกสองตัว มีปลาคาร์ฟอยู่ในสระน้ำเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านใกล้กับน้ำตก และมีน้ำพุเล็ก ๆ อยู่หน้าร้านด้วย ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ พัตเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปของที่สะดุดตาทุกอย่างที่เห็นและต้องการเก็บไว้ เช่นเดียวกับป้า นอกจากนี้ป้ายังชอบถ่ายวีดีโอด้วย ป้าจึงถูกใจเรามากเป็นพิเศษ เมื่อถึงเวลาที่ร้านเปิดประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง เจ้าของร้านที่ดูเหมือนจะเป็นอเมริกันอินเดียนก็เปิดประตูออกมาแล้วบอกว่า “It’s time for a good food, welcome everyone” เมื่อเข้าไปถึงป้าก็ถามว่า “How does it work here?” คือ จะให้ทำอย่างไร จ่ายเงินแล้วไปตักอาหารหรืออย่างไร เนื่องจากเป็นประเภทบุฟเฟ่ ที่นี่ป้าก็เป็นคนจ่ายเงินอีก พัตก็เลยไม่ทราบราคาอีกตามเคย สำหรับอาหารก็จะมีแผ่นแป้งที่ทานกับแกง ข้าวกล้อง แกงผักรวมมิตร ซุปถั่วเล็นทิล ซุปมะเขือเทศ สลัดผักสด (สดมากจริง และปลอดสารพิษ) มันฝรั่งชนิดหวานบดหรือที่เรียกว่า “แยม” และมีผัดผักรวมมิตร ที่ร้านอาหารแห่งนี้ จัดแบ่งส่วนหนึ่งของร้านเป็นห้องสำหรับโชว์ของทำมือที่นำเข้ามาจากอินเดีย ขายในราคาย่อมเยา ทันทีที่ทานอาหารเสร็จ เก็บขวด Ginger Ale ใส่ในถังรีไซเคิล เอาเศษอาหารที่เหลือบางส่วนใส่ในส่วนที่เขาเอาไปทำปุ๋ยหมักแล้ว แม่ก็ตรงดิ่งไปยังห้องโชว์ของ ป้าบอกกับพัตว่า “She likes shopping” พัตก็ตอบป้าว่า “ Obviously” หมายความว่า เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าแม่ชอบจริง ๆ แต่ไม่นานเราก็ตามไปสมทบกับแม่ แม่บอกว่าให้พัตเลือกเอาว่าอยากได้อะไร แม่จะซื้อให้ ขอให้พัตเลือกเอาเลยตามใจชอบ “you just gave me a check as a present, you don’t have to buy me anything” คือ แม่เพิ่งให้เช็คของขวัญกับพัต ก็ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรให้พัตอีก แต่แม่ก็ยืนยันคำเดิม พัตก็เลยดูกระเป๋าทำมือ ก็สวยดี แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ในโอกาสอะไร กระเป๋าก็มีเยอะมากแล้วที่บ้าน จนลีอองบอกว่าเดินไปห้องไหนก็มีแต่กระเป๋าและรองเท้าของพัต เมื่อแม่เห็นว่าพัตไม่ชอบอะไรเลย ก็เลยเลือกผ้าคลุมไหล่ให้ ดูแล้วไม่ชอบสีที่แม่เลือก ก็เหลือบไปเห็นสีที่ถูกใจก็บอกแม่ว่า พัตชอบผ้าคลุมไหล่สีนี้แหละ คือเป็นสีชมพูอมม่วงครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งเป็นสีฟ้าอมเขียว สีหวานมาก แม่กับป้าเข้ามาดูก็ยืนยันว่าเหมาะกับพัต แม่ก็จ่ายไปในราคา 15เหรียญ ซึ่งถูกมากในความเห็นของทุกคน ส่วนป้าบ่นอุบว่า “ I’ m chubby, chubby people don’t look good with whatever they wear” หมายความว่า “ฉันน่ะอ้วน แล้วคนอ้วนสวมอะไรก็ดูไม่ดี แต่หล่อนลืมมองไปว่าใกล้กันนั้นเจ้าของร้านผู้ซึ่งอ้วนมากกว่ากำลังมองมาอย่างกระอักกระอ่วนคงได้ยินคำพูดของป้าเข้าไปเต็มสองหู แม่เห็นดังนั้นจึงรีบจ่ายเงินแล้วบอกว่าไม่ต้องห่อ เราทั้งสามจึงรีบแจ้นออกจากร้านนั้นให้เร็วที่สุด นับได้ว่าเป็นการเริ่มวัน girl day out ที่เสี่ยงเหมือนกัน (รูป : หน้าร้าน “Govinda’s” )
จากนั้นป้าก็ขับรถต่อไปยังที่หมายถัดไปสำหรับวันนี้ นั่นคือ ร้านสปา พัตทั้งสามจะไปทำเฟเชี่ยลสปา โดยป้าได้ทำนัดไว้เรียบร้อยแล้ว และให้คำมั่นว่าดีจริง ๆ และราคาไม่แพงด้วย พัตใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณชั่วโมงครึ่งกับการขัดหน้า พอกหน้า ดูดสิวเสี้ยน ตบท้ายด้วยครีมบางเบา และเขาบริการแต่งหน้าบาง ๆ ให้ฟรีด้วย ร้านนี้ผ้านไปด้วยความเย็นสบายหน้าและไม่มีอะไรให้ต้องมาตื่นเต้นเหมือนที่ร้านอาหาร ป้าเป็นผู้จ่ายเงินอีกเช่นเคย เป้าหมายถัดไปคือเดอะมอลล์ เมื่อไปถึงห้างซึ่งเป็นที่เดียวกับที่เรามาทานอาหารญี่ปุ่นเมื่อวันแรกที่มาถึง เราทั้งสามคนเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้กันเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นร้านรองเท้า ของตกแต่งบ้าน เครื่องสำอาง เช่น L’Occitane ร้านเสื้อผ้า เช่น J.Crew, Anne Taylor และอื่น ๆ ซึ่งพัตจำได้ไม่หมดหรอก แม่และป้าก็เข้าใจว่าร้านเสื้อผ้าดังกล่าวไม่ค่อยเหมาะกับพัตเท่าไร เพราะเป็นแนวผู้ใหญ่ อย่าง J.Crew นั้น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเคยใส่มาแล้วในวันที่ประธานาธิบดีโอบามาประกาศชัยชนะการเลือกตั้งที่ชิคาโก หลังจากนั้นมาร้านนี้ก็เป็นที่นิยมของผู้หญิงชาวอเมริกันมากกว่าเดิม ก็มีร้านที่มีเสื้อผ้าเหมาะกับพัตนะ แต่ราคาแพงมากคือราคามากกว่าหนึ่งร้อยเหรียญทั้งนั้น พัตเลยต้องรีบเดินออกมาก่อนที่จะตกหลุมรักชุดต่าง ๆ ที่โชว์อยู่
ที่ร้าน Anne Taylor หลังจากที่เดินจนเหนื่อยแล้ว ก็เลยมานั่งรอแม่กับป้าอยู่ที่โซฟามุมหนึ่งของร้าน แม่ก็เดินมาถามว่าเบื่อหรือไร เราก็บอกว่าไม่หรอก แต่อยากนั่งพักสักหน่อยและก็อยากทานกาแฟแล้ว แม่หายไปสักพัก ก็กลับมากพร้อมกับชุดในมือของร้านนี้ ในราคาที่ดีมากคือ 80 เหรียญ จากราคา 160 เหรียญ หรือว่าลดครึ่งราคานั้นเอง แม่ใส่ชุดขนาดเดียวกับพัตคือศูนย์เพิ่งรู้เหมือนกัน แม้ว่าอายุจะหกสิบแล้ว แต่ด้วยการดูแลเรื่องอาหารการกิน ออกกำลังกายทุกวัน หุ่นก็เลยยังโอเคอยู่ นอกจากนี้แม่ยังได้เสื้อจากร้าน J.Crew ซึ่งป้าเป็นคนซื้อให้ เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าทุกปีที่แม่มาเยี่ยมป้า ป้าก็จะซื้อเสื้อผ้าให้ ส่วนพัตชอบเสื้อยืดสีส้มในร้านนี้ เป็นลักษณะแขนสี่ส่วน น่าใส่สบาย ใส่กับยีนส์คงจะสวยดี ที่สำคัญคือมีขนาด x-small คือขนาดเล็กกว่าปกติ แม่เห็นพัตยืนมอง ๆ ก็เข้ามาถามว่าชอบหรือไม่ พัตบอกว่าชอบแต่ดูราคาแล้วคงต้องคิดอีกที เพราะราคาถึง 30 เหรียญ พัตไม่เคยซื้อเสื้อยืดราคาสูงขนาดนี้มาก่อน ส่วนใหญ่พัตก็ซื้อที่ร้านประจำคือ DELiA*s , Old Navy, Marshall, Kohl’s , TJ Max ซึ่งไม่แพงมากนัก ยังเคยซื้อชุดนอนราคา 5 เหรียญเลย ส่วน Banana republic , Express โดยสองร้านนี้ ส่วนใหญ่ซื้อเป็นเสื้อโค๊ต เสื้อหนาว ซึ่งราคาสูงก็เข้าใจได้ ส่วนรองเท้าก็จะซื้อที่ DSW, Sketcher, และ Macy และในการช๊อปปิ้งครั้งนี้ก็อีกเช่นกันที่ป้าไม่ได้อะไรติดมือให้ตนเองเลย แต่ป้าให้สัญญาว่าจะขอลดน้ำหนักอีกหนึ่งปี ตอนนี้ไปสระว่ายน้ำอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ปีหน้าเมื่อมาเจอกันพร้อมหน้าแบบนี้จะขอซื้อของให้ตนเองแน่นอน (รูป : เดอะมอลล์-ผลจากการ shopping)
ก่อนจะถึงอาหารเย็นที่นัดไว้กับพ่อและลีออง เราทั้งสามมีภารกิจที่ต้องทำอีกอย่างคือการช็อปปิ้งหรือซื้ออาหารจากซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ในห้างนี้นี่แหละ โดยเราซื้อเจลลี่ทำจากตะบองเพชรเพื่อเป็นของฝากเพื่อนบ้านที่เอาไวน์มาให้ก่อนที่เราจะบินมาซาน ฟรานซิสโกด้วย แม่บอกว่าดูให้แน่ใจว่าทำในทู ซาน ไม่ใช่ประเทศจีน พูดแล้วก็น่าขำ เพราะหลายอย่างที่อเมริกาทำในประเทศจีน แม้ว่าธงชาติอเมริกาที่ให้กันเป็นของฝากก็ไม่เว้นที่จะผลิตในประเทศจีน ในขณะที่เดินเข้ามาที่แคชเชียร์เพื่อจะจ่ายเงิน พนักงงานพูดว่า “สวัสดีตอนเช้า” ก็งงน่ะสิ เขาก็หัวเราะะแล้วบอกว่า ต้องการเช็คว่าเรากำลังตื่นอยู่หรือไม่ เห็นหน้าตาเหมือนง่วงนอน พัตจึงบอกว่าเหนื่อยจากการช็อปปิ้งทั้งวัน เขาก็หัวเราะกันอีก
เวลาใกล้จะ 5 โมงเย็นแล้ว แม่กับป้าบอกว่าพ่อและลีอองจะโทรมาหาเพื่อนัดทานอาหารเย็นกันที่ทู ซานนี้เหละ เพราะตอนนี้พวกเขากำลังปีนเขาอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ที่นี้มีร้านอาหารให้เลือกสองร้านนอกจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่พัตทานวันก่อน ก็คือร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อ North หรือร้านอาหารอเมริกันชื่อ Firebird แม่บอกว่าต้องการยืนรอพ่อกับลีอองตรงทางที่รถเลี้ยวเข้ามา ส่วนพัตกับป้าไปดูรายการอาหารที่วางไว้หน้าร้านของร้านทั้งสองแล้วตัดสินใจว่าจะเลือกร้านไหน พัตกับป้าก็ถ่ายรูปกันเล่นด้วยความสนุก เพราะมีภูเขาที่กระทบกับแสงอาทิตย์ที่ส่องมา ดูไม่เคยเบื่อเลย เมื่อดูรายการอาหารที่ร้าน Firebird พัตรู้สึกว่าต้องการทานปลาเทราท์ที่ร้านนี้ ส่วนป้าก็แล้วแต่พัต เห็นแม่กำลังเดินมาหา คงจะหนาวมากขึ้นจากการที่คอยพวกผู้ชายอยู่ตรงถนนทางเข้า ก็เลยเดินมาสมทบกับพัตที่ร้านนี้ เพราะอากาศที่นี่เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินทันทีก็เย็นทันทีเช่นกัน จะว่าไปแล้วอากาศที่นี่ดีมาก เพราะตอนนี้คิดว่ากลางวันอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส เป็นหน้าหนาวในเขตทะเลทราย คืออากาศกำลังเย็นสบาย ใส่เสื้อคาร์ดิแกนหรือจัมเพอร์ก็อยู่ได้แล้วในตอนกลางวัน ในขณะที่ตอนนี้ที่บ้านพัตที่แมสซาชูเสสหิมะกำลังตก และก่อนหน้าที่พัตจะมาที่นี่ก็ตกสะสมมาแล้วหลายนิ้ว หวังว่าเมื่อกลับไปแล้วสามารถนำรถฝ่าหิมะผ่านถนนเข้าบ้านได้เท่านั้นก็ถือว่าโชคดีแล้ว (รูป : แม่ยืนรอพ่อกับลีอองกลับมา – ร้านอาหาร Firebird ที่เราเลือก)
เมื่อเดินเข้ามาในร้าน Firebird พบว่าภายในร้านใหญ่มากกว่าที่เห็นด้านหน้ามาก โดยมีเตาผิงซึ่งใช้ไม้ฟืนจริง ไม่ใช่ไฟฟ้า และมีแสงสีแดงที่ส่องขึ้นไปชั้นบน เป็นคำตอบที่ทำให้รู้ว่าทำไมเมื่อมองจากข้างนอกแล้ว ชั้นบนของร้านนี้มีสีแดง ทำให้ตัดกับทิวเขาที่เป็นแบ็คกราวอยู่ด้านหลัง มองดูเด่นสวยดี ที่ไม่ชอบใจในร้านนี้คือเขาจะมีหัวบัฟฟาโล่แขวนอยู่เหนือจุดที่เขาวางไวน์ไว้เด่นเป็นสง่าทีเดียว บัฟฟาโล่นี้ไม่เหมือนควายแบบบ้านเรา ทั้งรสชาติและลักษณะ แต่คงอยู่ในวงตระกูลเดียวกัน ซึ่งเนื้อของมันจะเป็นที่นิยมมากแถบอริโซน่า พัตเคยทานบัฟฟาโล่เจอกีซึ่งอร่อยดี ซึ่งตอนนั้นพัตไม่เห็นหัวของมันเพราะทานที่บ้านป้า ซึ่ง ณ เวลานี้พัตคงไม่สั่งเนื้อมาทานแน่ ๆ แต่แม่สิ สั่งบัฟฟาโล่เบอร์เกอร์ เมื่อพ่อและลีอองเข้ามาสมทบ ทั้งสองสั่งเบอร์เกอรไก่ พัตสั่งปลาเทราท์เสริฟกับสลัดผักสดและซอสวอลนัทบด ส่วนป้าสั่งกุ้งก้ามกรามคลุกด้วยมะพร้าวขูด ระหว่างที่รอก็อาหารจานหลัก เราก็ทานออเดิร์ฟ รอไปก่อน โดยพัตสั่งปลาทูน่าสดทอดด้วยโรสแมรี่ โดยจะสุกนิดหน่อยเฉพาะด้านนอกเท่านั้น ยังคงเห็นเนื้อสีชมพูอยู่ด้านใน ชิ้นพอเหมาะคำ ดูแล้วน่าทานมาก นอกจากนั้นก็มีปีกไก่ทอดมากับซอสเผ็ดถึงใจ และก็เนื้อปูทอด ทุกคนสั่งไวน์มาทาน
เมื่อพ่อกับลีอองมาสมทบ พวกเขาก็สั่งไวน์แบบ Riesling ซึ่งเป็นไวน์ที่ทำจากองุ่นขาว มีถิ่นกำเนิดในเยอรมนี รสชาตจะออกไปทางเปรี้ยว ๆ นิด ๆมากกว่าหวาน พ่อจะสั่งไวน์นี้ทุกครั้งไป และต้องเป็นออร์แกนิคไวน์นะ ส่วนพัตสั่งไวน์แดงเฮ้าส์แบรนด์ ซึ่งปกติพัตจะจำชื่อไวน์ไม่ได้ และอ่านยากเป็นภาษาฝรั่งเศส หรือ เยอรมนี เลยบอกว่าขอเฮาส์ไวน์ทุกครั้งไป ก็พอเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง เนื่องจากว่าพัตทานออร์เดิร์ฟมากไป ชักเริ่มอิ่มทั้ง ๆ ที่อาหารจานหลักยังไม่มาเลย เมื่อเห็นจานของพัตที่พนักงานนำมาเสิร์ฟถึงกับอึ้งเพราะว่าปลาเทราท์ตัวนี้ใหญ่จริง ๆ หรือพัตอิ่มแล้วคิดไปเอง ก็เลยทานปลาไปได้ครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือก็ใส่กล่องกลับบ้าน ซึ่งไม่ใช่พัตคนเดียวที่ทำแบบนี้ อีกสองสาวก็ทำเช่นเดียวกัน ส่วนพ่อกับลีอองเขาทานได้หมดสบายมาก เนื่อจากผ่านการเดินป่าและปีนภูเขามาตั้ง 6 ไมล์ในวันนี้ เมื่อท้องอิ่มหนังตาก็จะหย่อน ขึ้นรถป้าได้พัตก็หลับ ๆ ตื่น ๆ จนมาถึงบ้าน ส่วนลีอองกลับรถคันที่พ่อขับ เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากที่โชว์ของที่ซื้อมาและเล่าเรื่องราวของวันนี้ให้คุณยายฟัง ด้วยความช่วยเหลือของแม่ในการแปล แล้วยายก็ไปชงชาเขียวที่อร่อยที่สุดให้ทุกคนดื่ม ฝีมือชงชาของคุณยายอร่อยที่สุดจริง ๆ เหมือนได้ทานที่ญี่ปุ่นเลยที่เดียว
วันพฤหัสบดี ที่ 31 ธันวาคม 2552
ท่องเมืองคาวบอย
วันนี้ทนไม่ไหวแล้วจ้า ไม่ได้ออกกำลังกายมาหลายวัน ชักคิดถึงคลาสเรียนออกกำลังกายที่ฟิตเนสที่บ้าน จึงต้องกัดฟันตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งสักหน่อย ส่วนเจ้าลีออกกำลังหลับสนิทแถมพูดอีกต่างหาก พูดจริงหรือละเมอกันแน่นะเนี่ย จับความได้ว่า “shuttle bus” คงคิดถึงการเดินทางที่ไหนซักแห่ง “จะปลุกเขาดีหรือไม่นะ” คิดแล้วคิดอีกอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ปล่อยให้เขานอนต่อดีกว่า เพราะช่วงเวลาทำงานเขาต้องตื่น 6 โมงเช้า แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงลาพักร้อนเขาก็ควรได้พักตามที่ต้องการ เวลานี้ควรเป็นเวลาที่เขาได้ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มที่เพื่อกลับไปพบกับความรับผิดชอบที่รออยู่ที่บ้านแมสซาชูเสส เพื่อไปสู้กับหิมะและงานที่เขารักที่รออยู่ที่บริษัท พัตก็เลยเดินออกมานอกห้องนอนเพื่อเตรียมพร้อมออกไปวิ่ง เห็นคุณยายกำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับตัวเอง และแกพยายามส่งภาษาอังกฤษปนภาษาญี่ปุ่น พัตจับความได้ว่า “พวกเขาออกไปเดินกันหมดแล้ว หนูไปคนเดียวอันตรายนะ” และ “ลีอองกำหลังหลับอยู่หรือ” พัตพยายาถามว่าพวกเขาออกกันไปนานเท่าไรแล้ว เผื่อว่าจะได้ไล่ทัน แต่คุณยายไม่เข้าใจและพัตเองก็ไม่เข้าใจว่าภาษาญี่ปุ่นที่ยายกำลังพูด อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ออกไปวิ่งเลยดีกว่า ในที่สุดพัตก็ไล่พวกเขาทันใกล้กับโรงเรียนชั้นประถมของเมืองหลังจากวิ่งมาได้ประมาณห้านาที จากนั้นแม่กับพัตก็วิ่งไปด้วยกัน ส่วนพ่อและป้ายังคงเดิน อย่างที่บอกเมื่อวานพ่อเดินป่าปีนเขาตั้ง 6 ไมล์ วันนี้ก็ควรจะเดินสบาย ๆ เ ราทั้งสองวิ่งขึ้นภูเขา หันไปมองแม่ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยเลย แต่พัตชักเหนื่อยแล้ว จึงพยายามวิ่งซิกแซ็กขึ้นภูเขาเพื่อไม่ให้มีความรู้สึกว่าชันเกินไป โดยปกติแล้วพัตไม่ชอบวิ่งสักเท่าไรนัก และไม่ชอบวิ่งบนลู่วิ่ง ที่เรียกว่าเทรทมิลล์หรอกนะ มันน่าเบื่อมาก พัตชอบออกกำลังกายที่ฟิตเนสที่เป็นคลาส มีคนเยอะ และสนุก แบบนั้นละไปได้ทุกวัน ๆ วันสองชั่วโมงเลยที่เดียว
กลับมาถึงบ้านด้วยความสดชื่นเพราะในร่างกายมีอะดรีนะลินหลังจากการออกกำลังกายนั่นเอง คุณป้าไปทำกาแฟ คุณแม่เตรียมอาหารเช้าส่วนพัตไปอาบน้ำและปลุกลีอองให้ตื่นเพื่อได้ทานอาหารเช้าด้วยกันกับครอบครัว เช้าวันนี้มีผลไม้รวม มีซุปน้ำใส แม่เรียกว่า เคลียร์ซุป ทำจากผักโขมชนิดต้นใหญ่ (ไม่ใช้ชนิดที่ทำสลัด) และโมจิย่าง (ทำจากแป้งข้าวเหนียว ทำให้เป็นก้อนด้วยเครื่อง แล้วย่างก่อนที่จะทำซุป) หน้าตาน่ากินมาก และดูเป็นมิตรต่อสุขภาพด้วย ซุปชนิดนี้เป็นธรรมเนียมญี่ปุ่นที่ทานเป็นอาหารเช้าในวันก่อนปีใหม่ หรือ นิว เยียร์ อีฟ นอกจากนั้นแล้ว เช้านี้ยังมีปลาแฮริ่งหมักด้วยดิล (พัตเองคิดว่าดิลคือผักชีลาว แต่ไม่แน่ใจ) ที่บรรจุอยู่ขวด ซื้อมาเมื่อวาน พัตเติมซุปไปสองครั้ง อร่อยเหาะ ส่วนปลาแฮริ่งหมักดิลอร่อยมาก ๆ เช่นกัน ก่อนหน้านี้พัตเคยทานแต่ปลาแฮริ่งในน้ำมันมะกอก ซึ่งไม่อร่อยเท่าหมักกับดิล ทานปลานี้ไปหลายชิ้น ในที่สุดบอกลีอองว่า “take away from me, otherwise I’ll finish it right now” คือ เอาออกไปให้พ้นจากฉันเสียที มิฉะนั้นแล้วฉันจะกินมันหมดเดี๋ยวนี้ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ พ่อบอกว่า พัตกับลีออเนี่ยะอะเมซซิ่งจริง ๆ ที่กินแล้วไม่มีใครอ้วนกันเลย เนื่องจากเราสองคนทานจุมาก ส่วนแม่ก็พูดเช่นเดียวกัน พัตได้ยินบ่อยมาก บางครั้งพัตก็ตอบกลับไปว่า “ I hear ya!” มีความหมายเป็นนัยว่า “ฉันได้ยินที่คุณพูดแล้วหละ (ไม่ต้องพูดหลายครั้งก็ได้ (ชักรำคาญ))”
หลังจากอาหารเช้า พ่อถามว่าใครจะไปเมืองที่ชื่อ Tombstone บ้าง แม่ ลีออง และพัตต้องการไปด้วย ส่วนป้าขออยู่บ้านกับยาย ประมาณก่อนเที่ยงเราก็ออกจากบ้านเพื่อไปที่นั่น ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 20 นาที ระหว่างการเดินทาง มองไปซ้าย ขวา หน้า หลังมีแต่ทิวเขา ที่ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า และทะเลทรายที่ราบเรียบ จึงมองเห็นได้ไกลสุดตาที่ทิวเขาเหล่านั้น เป็นภาพที่สวยงาม อดที่จะเก็บภาพจากบนรถไม่ได้สักที
เมื่อเดินทางมาถึง ก็ไปหยิบแผนที่ของเมืองจากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่มีลักษณะเป็นตู้ที่ทำด้วยไม้ ก็ดูแปลกตาดี เห็นนักท่องเที่ยวนั่งพักดื่มกาแฟอยู่ใกล้ ๆ คุยอยู่กับคาวบอย (รูป: ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว-บรรยากาศใกล้ ๆนักท่องเที่ยวนักพักผ่อนในยามบ่ายและพัตกำลังอ่านข้อมูลประกอบเพื่อมาเขียนบันทึก)
พัตเคยมาที่นี่แล้วในปี 2007 ในความคิดของพัตคล้าย ๆ เมืองคาวบอย พัตก็ชอบเมืองนี้ระดับหนึ่ง แต่คิดว่าเขาจัดฉากมากไป คือไม่เป็นลักษณะชุมชนที่เป็นธรรมชาติอย่างที่มันเป็น แต่นี่คล้าย ๆ กับว่าเพื่อการท่องเที่ยวอย่างเดียว เมืองนี้เป็นที่รู้จักกันดีเมื่อมีเหตุการณ์การดวนปืนของพี่น้องตระกูลอาร์พกับแก๊งแคล็นตันในปี ค.ศ.1881 ที่โอ เค คอร์รอล โดยทุกวันนี้จะมีการโชว์การดวนปืนวันละหลายรอบสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่นานหลังจากการค้นพบในปี ค.ศ. 1877 เมืองนี้ก็เต็มไปด้วยนักแสวงโชค นักการพนัน คาวบอย และนักกฎหมาย ในช่วงที่ Tombstone มีความรุ่งเรืองสูงสุด มีการเล่าว่ามีขนาดใหญ่กว่าซาน ฟรานซิสโกเสียอีก ด้วยบรรยากาศของเมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์จึงถูกยกให้เป็น สถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1962 ยังมีอีกความหมายหนึ่งของ Tombstone นั่นคือหมายถึง หลุมฝังศพ สิ่งหนึ่งที่พัตชอบในเมืองนี้คือ การมีลักษณะแบบคาวบอย ลักษณะอาคารบ้านเรือนออกแนวเมืองเก่าที่เป็นคอนเท็มโพรารี่ (contemporary) ไม่เชิงซานตาเฟ่เสียทีเดียว บรรยากาศโดยทั่วไปของเมืองรูปภาพบอกได้ดีกว่า
ส่วนใหญ่เราก็เดินดูสภาพเมือง ซื้อของฝาก พ่อกับแม่เดินเร็วนำหน้า ส่วนพัตกับลีอองหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ ก็สนุกดี มีคาวบอยคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าจะมีการดวนปืนโชว์เวลา 11.45 หากคุณสนใจเชิญทางนี้ ว่าแล้วก็ชี้ไปทางเนินเขาด้านล่าง แต่พัตบอกว่า “ไม่ค่ะ ขอบคุณ” พัตเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ขอเขาถ่ายรูปในร้านที่ขายของที่ระลึกบ้าง ในที่สุดพัตได้ที่เปิดขวดเป็นรูปขวดเบียร์และมีชื่อเมืองสลักอยู่เพื่อฝากอาจารย์ที่แมสฯ ได้เครื่องปั้นดินเผา 2 ชิ้น สำหรับเราเอง ดูสิว่าเป็นเมืองคาวบอยขนาดไหน แม้ว่าสัตว์ที่เรียกว่า armadillo.ก็ยังแต่งเป็นคาวบอยเลย(รูปหลังสุด) ส่วนรูปที่สามน่ะ เฉพาะหมวกเท่านั้นนะที่เป็นของที่ระลึก ไม่ใช่คนสวมหมวก
(และนี่คือรูป armadillo ที่ไม่ได้แต่งแบบคาวบอย)
หลังจากนั้นท้องก็เริ่มประท้วงบอกเวลาว่าเลยอาหารเที่ยงมานานแล้ว พ่อกับแม่เดินควงแขนกันเพื่อหาร้านอาหาร (รูปแรก) บังเอิญเห็น O.K Café’ Family Dining พัตกับแม่เข้าไปถามว่า มีโต๊ะว่างหรือไม่ ส่วนพ่อกับลีอองรออยู่ด้านนอก เมื่อได้ที่นั่งแล้ว พัตกับลีอองก็สั่งฮาร์ฟแซนวิชไก่งวง และซุปไก่ชนิดเผ็ด ส่วนพ่อกับแม่สั่ง ซุปแคลมชาวเดอร์ (แคลมก็คือหอย ส่วนชาวเดอร์เป็นลักษณะการปรุงที่ใส่นมหรือฮาร์ฟแอนด์ฮาร์ฟ (นมไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์) ลักษณะซุปค่อนข้างเป็นลักษณะเป็นครีมเหลวและมีเนื้อหอยที่สับละเอียด ใส่หอมสับ มันฝรั่งสับตามชอบ) พ่อยังสั่งพายบลูเบอรรี่ และเราทุกคนสังกาแฟ ทุกอย่างที่สั่งมาอร่อยหมด โดยเฉพาะกาแฟ และอีกเช่นกัน ที่ร้านนี้มีหัวบัฟฟาโล่แขวนอยู่ พัตแอบถ่ายรูปมาด้วย
จากนั้นก็บ่ายหน้าจากที่นั่นเพื่อกลับมาบ้าน ระหว่างการเดินทาง พ่อหยุดรถเพื่อดูต้นไม้ที่มีลักษณะแปลกตา ทรงพุ่มที่โดดเด่น ไม่มีใบ เพราะเป็นช่วงที่ผลัดใบนั่นเอง จากนั้นก็หยุดที่ร้านขายเครื่องปั้นดินเผาซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านป้า พ่อกับแม่ขอตัวไปเดินเล่นเพราะมาที่นี่จนเบื่อแล้ว ที่นี่เป็นร้านประจำของเรา พัตกับลีอองจะมาที่นี่ทุกครั้งที่มาเยี่ยมป้า และซื้อของติดมือกลับบ้านทุกทีเช่นกัน จนที่บ้านตอนนี้คล้าย ๆ กับโชว์รูมของทางร้านยังงัยยังงั้น ร้านนี้ชื่อ Whetstone Pottery & Fountains เมื่อเดินเข้ามาในร้าน หนุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเพราะร้านนี้เป็นธุรกิจในครอบครัว เขาถามพัตว่า “Are you interested in anything today?” หมายความว่า คุณสนใจอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าวันนี้ พัตตอบว่า “No, we just poke around, thank you” หมายถึง ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษหรอก เพียงแต่ต้องการเดินดูเรื่อย ๆ เท่านั้น แต่แล้วเราก็พบของถูกใจที่จะซื้อกลับบ้าน นั่นคือ ไนท์แลมพ์ (ใช้เสียบที่เอาท์เล็ทในบ้านจะให้แสงสว่างที่ไม่จ้ามากนัก เพื่อพอให้เห็นทางเดินในบ้านในตอนกลางคืน ซึ่งเขาจะทำเป็นรูปต่าง ๆ แสงก็จะมีลักษณะเป็นรูปนั้น ๆ ) ที่พัตชอบเป็นรูปตะบองเพชร และลีอองได้แจกันที่เป็นเครื่องปั้นดินเผา วาดลวดลายหางนกยูงด้วยฝีมือที่ดีมาก เจ้าของร้านที่เป็นผู้หญิง คุยกับพัตว่า รู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเราทั้งสองที่นี่มาก่อน พัตตอบว่าใช่ แล้วก็ถามต่อว่าพัตมาจากไหน ทำอาชีพอะไร พอลีอองบอกว่าเป็นวิศกร เธอก็บอกว่าเป็นอาชีพที่ดีทีเดียวสำหรับเศรษฐกิจในช่วงนี้ และถามว่าพัตมาจากไหน พัตตอบว่ามาจากเมืองไทยแต่แต่งงานแล้วอยู่แมสซาชูเสสได้สองปีกว่าๆ แล้ว “your English is very good” เธอกล่าวต่อ จากนั้นเธอก็เล่าว่าธุรกิจของเธอ “hang in there” หมายความว่า อดทนไว้ คือไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้เลวมากเช่นกัน จากนั้นพัตทั้งสองก็กล่าวลาเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่รอนาน (รูป : ต้นไม้ทรงแปลกตาข้างทางและของตกแต่งบ้านที่เป็นของที่ระลึก)
กลับมาถึงบ้านพบว่าป้ากำลังรื้อตู้เก็บรองเท้า และได้นำรองเท้าบู๊ทแบบคาวบอยซึ่งป้าเก็บไว้นานถึงสิบสี่ปี เอาออกมาให้พัต ลีอองเห็นดีเห็นงามแล้วบอกว่าเห็นพัตบ่นอยากได้รองเท้าบู๊ทแบบคาวบอยมานานแล้ว ทั้งสองคนก็ช่วยกันเช็ด ช่วยกันขัดแล้วให้พัตลอง ลีอองบอกให้พัตใส่แล้วเดินให้ดูแล้วถ่ายรูป อย่างที่เห็นแหละ พัตอยากได้เพราะว่าจะได้ใส่กับชุดเดรส ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในหน้าฤดูใบไม้ร่วง น่ารักดีนะ ฮ่าฮา แต่อย่าเข้าใจผิดนะขอร้องเพราะนี่ไม่ใช่พัต
และแล้วอาหารเย็นที่รอคอยก็มาถึง เพราะจำได้ว่าในวันนิว เยียร์ อีฟ บ้านป้าจะมีอาหารเย็นที่มีความพิเศษ ป้าสั่งอาหารญี่ปุ่นจากแคลลิฟอเนียร์ และกล่องนั้นมันมาถึงเมื่อวาน ทุกอย่างในนั้นแช่เย็นมา คุณยายจึงนำกล่องนั้นวางไว้ในแอร์ธรรมชาติ คือในส่วนที่เป็นห้องซักล้างหลังบ้านซึ่งพัตชอบเรียกว่าห้องเย็น ยายวางกล่องอาหารไว้ที่นั่นตั้งแต่ที่ได้รับจากไปรษณีย์ UPS แล้ว วันนี้คุณป้าจึงเอาอาหารเหล่านั้นออกมา เพื่อจัดวางและปรุงบางอย่างเพิ่มเติม อาหารเย็นวันนี้ได้แก่ ไข่ปลาแฮริ่ง ซึ่งคุณพ่อบอกว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขยายครอบครัว มีลูกมีหลาน คล้ายๆ กับบ้านพัตที่บอกว่าทานหอยนางรมอะไรทำนองนั้น นอกจากนี้ก็มีปลาตัวเล็กตัวน้อย ลูกชิ้นปลาฉลาม ปลาแซลมอล หัวไชโป๊ะดอง ไข่ปลาคอดผสมปลาหมึกสดเส้น อาจาดแตงกวาผสมสาหร่ายทะเล และหมี่โซบะ ทุกคนดื่มไวน์ ยกเว้นคุณยายดื่ม Ginger Ale ตามเคย
หลังอาหารเย็นก็ดูเทปการแสดงละครของลีอองสมัยเขาเป็นนักเรียนระดับมัธยม รวมทั้งคุณป้าพูดประกาศว่าคืนนี้หล่อนจะอยู่ดึกจนถึงเที่ยงคืน เพื่อดูลูกบอลดร็อพ ที่ทามสแควร์ นิว ยอร์คซิตี้ พัตนึกสนุกก็บอกว่าขอแจมด้วยคน เพราะเมื่อปีที่แล้วที่มาก็ทำเช่นเดียวกัน ระหว่างที่รอ ก็เขียนบันทึกการเดินทางไปพลาง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ เขาก็ดูโชว์ทางทีวี เวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า ๆ ยายรอไม่ไหวขอตัวไปนอนก่อน โดยเราได้ถ่ายรูปพร้อมหน้ากันทุกคนก่อนที่ยายจะเข้านอนแม้ว่าจะยังไม่ถึงเที่ยงคืนก็ตาม เหมือนเป็นธรรมเนียมที่ต้องถ่ายรูปพร้อมหน้ากันในคืนนี้ของทุกปี แม้ว่าจะมีจำนวนสมาชิกเดิม ๆ เพราะพี่น้องคนอื่น ๆ ของลีอองไม่สะดวกมา และสถานที่ก็เดิม ๆ คือห้องนั่งเล่นนั่นเอง ลีอองอยู่ ๆ ก็พูดว่าตอนนี้ที่ประเทศไทยเป็นวันที่หนึ่งตั้งนานแล้ว และนิว ยอร์ค ก็เป็นเวลาของทางตะวันออกของอเมริกาในขณะที่ตอนนี้ที่อริโซน่าซึ่งอยู่ทางตะวันตก โดยเวลาต่างกันประมาณ สามชั่วโมง ดังนั้น ณ ตอนนี้ที่นิวยอร์คบอลดร็อพไปแล้ว ป้าบอกว่าทีวีเก็บการถ่ายทอดนั้นไว้โชว์เมื่อเป็นเวลาเที่ยงคืนของที่นี่ พัตขอตัวไปอาบน้ำเมื่อเวลาประมาณห้าทุ่ม หลังจากนั้น ก็บอกกับลีอองว่าจะเอนหลังสักนิดเพื่อรอเที่ยงคน จะได้อยู่ดูทีวีกับป้า พ่อและแม่ ลีอองบอกพัตในตอนเข้าว่าพัตไม่ยอมตื่น หลังจากปลุกอยู่นานเขาก็เลยปล่อยให้หลับ
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2553
สวัสดีปีใหม่ 2553
ตื่นมาก็เจอคุณยายที่กำลังเตรียมอาหารเช้าและกาแฟให้กับทุกคน พ่อกับแม่ลีออกไปเดินกันแล้ว ส่วนพัตกำลังพยายามปลุกลีอองให้ตื่น ตามที่สัญญากันไว้เมื่อคืนว่าจะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการออกกำลังกายและลดการทานกาแฟลง ตัวพัตเองนั้นเรื่องการออกกำลังกายไม่มีปัญหาเพราะไปฟิตเนสทุกวันอยู่แล้ว ส่วนลีอองแค่เล่นฟุตบอล (ซ๊อคเกอร์) เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น จะมีบ้างก็ออกไปวิ่งก่อนอาหารเที่ยงกับเพื่อนที่ทำงาน จะว่าไปแล้วลีอองนี่ก็น่าตีจริง ๆ เพราะว่าที่บริษัทที่ทำงานอยู่นั้นเขามีฟิตเนสให้พนักงาน มีห้องอาบน้ำ ครบทุกอย่าง แต่อย่างว่าแหละเขาเป็นคนไม่ชอบบรรยากาศของฟิตเนส แต่ชอบที่จะออกกำลังกายกลางแจ้งมากกว่า เพื่อนที่ทำงานแต่ละคนก็ชอบออกกำลังกายกันทั้งนั้น อย่าง สตีฟ เจ้านายของลีออง ก็ออกไปเล่นบาสเกตบอลก่อนอาหารเที่ยงทุกวันที่อากาศเป็นใจ ส่วนฮัคคาน ก็ออกไปวิ่ง คนอื่น ๆ ก็ไปฟิตเนสกัน
การปลุกลีอองวิธีแรกคือ ถือแก้วกาแฟใบใหญ่ที่ใส่กาแฟหอมกรุ่น แล้วนำไปจ่อใกล้ ๆ จมูกเพื่อให้ใด้กลิ่นกาแฟ แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดก็ปลุกลีอองได้ โดยการโทรเข้ามือถือจากห้องครัวไปห้องนอน เช้านี้บรรยากาศการวิ่งสนุกดี พัตบอกให้ลีอองวิ่งไปก่อนเพราะเขาวิ่งเร็วกว่าพัต แต่เขาก็วิ่งรอ ๆ ในขณะที่เราวิ่งกลับมานั้นก็มองเห็นคน ๆ หนึ่งกำลังวิ่งสวนทางมาในระยะไกล ๆ โดยมองไม่ชัดว่าเป็นใครกัน ก็คุยกับลีอองว่า มีคนวิ่งเหมือนเราด้วยดีจังเลยที่มีคนรักสุขภาพ ปรากฏว่า เมื่อเข้าใกล้ยิ่งขึ้น ก็พบว่าเป็นพ่อของลีอองนั่นเองที่วิ่งทิ้งแม่และป้าไว้ข้างหลัง พ่อบอกว่ารู้เลยว่าเป็นพัตกับลีอองตั้งแต่เห็นมาในระยะไกลแล้ว เพราะพัตใส่เสื้อสีส้มมองเห็นได้ชัด
เมื่อกลับมาถึงบ้านอาหารเช้าก็รอพร้อมอยู่แล้ว พัตอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ทุกคนรอนาน เช้านี้มีมิโซซุป ทานกับข้าวกล้อง และปลาตัวเล็กตัวน้อย รวมทั้งปลาแองโชวี่ น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ และกาแฟ ระหว่างที่ทานอาหารเช้า ป้าก็ประกาศว่า วันนี้จะมีปาร์ตี้ปีใหม่ โดยจะมีลูกสาวของป้าคือ บริดเจ็ต และสามีคือ บ็อบบี้ รวมทั้งลูกของเขาทั้งสองคือ อลิสันและเจอรมี มาร่วมด้วย และตอนนี้บริดเจ็ตกำลังตั้งท้องอยู่ด้วย เธอฝากบอกพัตกับป้าว่า เธอจะเอาท้องเธอมาถูกับท้องพัต แล้วจะทำให้พัตตั้งท้องไปด้วย ทุกคนก็เลยหัวเราะกันใหญ่ เพราะเมื่อปีที่แล้วที่มาที่อริโซน่าและเจอเธอ ตอนนั้นเธอยังไม่ตั้งท้องลูกคนนี้ เราทั้งสองก็ให้สัญญากันว่าจะตั้งท้องพร้อมกัน
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จพ่อก็ทำตัวเป็นผู้นำทริปอีกเช่นเคย ส่วนพัตกับลีออง และแม่ก็ทำตัวเป็นผู้ตามอยู่เรื่อย พ่อถามความสมัครใจว่า ใครจะไปเดินป่า ปีนเขากันบ้างที่ Coronado National Forest ซึ่งก็ใช้เวลาเดินทางจากบ้านประมาณสิบห้านาทีก็ถึง ทุกคนก็ตอบตกลงยกเว้นป้า เพราะป้าจะอยู่เตรียมอาหารเพื่อปาร์ตี้ตอนเย็น วันนี้เป็นวันที่เหมาะกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างยิ่ง อุณหภูมิในทะเลทรายแบบนี้ วันนี้อยู่ที่ประมาณยี่สิบองศาเซลเซียส ก็สบาย ๆ มองออกไปสองข้างทางในทะเลทรายที่ราบเรียบ ถ้าไม่มีภูเขากั้นก็ไม่รู้ว่าจะมองไปได้ไกลสักแค่ไหน เมื่อมาถึง Coronado พ่อกับแม่ก็ออกเดินนำทันที ส่วนพัตกับลีอองก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นต้นตะบองเพชรที่มีรูปร่างแปลก ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์ แต่เราทั้งสองก็พยายามไม่ให้พ่อกับแม่ทิ้งห่างมากนัก เริ่มต้นการเดินลีอองก็เริ่มด้วยการทำท่าทางกอดต้นตะบองเพชรที่มีหนาม แต่ก็ได้แค่ทำท่าทางเท่านั้น ไม่ได้กอดจริง ๆ หรอก พัตมองขึ้นไปบนภูเขาที่อยู่ข้างหน้า พ่อบอกว่า เขาลูกที่สูงที่สุดนั้นแหละที่เราจะต้องปีนไปให้ถึง ซึ่งก็จะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเฉพาะตอนขึ้น และอาจจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นตอนลงมา พัตมองภูเขาลูกนั้นก็ขาอ่อน แต่หันไปมองแม่ดูท่าทีสบาย ๆ มาก พัตก็เลยอดคิดไม่ได้ว่าแม่อายุจะหกสิบแล้ว แล้วเราละ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเลยเรา (รูป: ลีอองแอ็คท่ากอดต้นตะบองเพชร และ ยอดเขาที่ต้องปีนให้ถึง)
วันนี้เป็นวันปีใหม่ ไม่ค่อยเห็นมีคนมาปีนเขามากนัก ที่ลานจอดรถด้านล่างมีรถจอดอยู่แค่คันเดียว เขาคงไปเที่ยวที่อื่นกัน หรือเมาค้างจากการอำลาปีเก่าเมื่อคืนนี้ก็ไม่รู้ ที่ตีนเขา จะเห็น RV (Recreation Vehicle) หรือรถแค้มปิ้งตั้งเต็มไปหมดแต่ไม่ยักเห็นผู้คน เห็นเพียงแต่ผ้าที่ชาวแค้มป์ซักตากกันเป็นแนว เป็นวันแห่งการซักผ้าหรืออย่างไร ทุกคนจึงพร้อมใจกันซัก แต่ก็อย่างที่บอกว่าวันนี้อากาศดี มองไปเห็นชาวแค้มป์คนหนึ่งกำลังต้มกาแฟ หอมมาก ๆ เห็นแล้วก็อยากเข้าไปร่วมกินกาแฟด้วยจริง อ้อ! ไม่ได้สิ เพราะเมื่อเข้าทานกาแฟแล้ว จะทานอีกไม่ได้ วันนี้ยังเป็นวันแรกของปีใหม่อยู่เลย จะ break New Year Resolution ไม่ได้เด็ดขาด ระหว่างทางพ่อชอบที่จะหยุดดูสิ่งนั้น สิ่งนี้และมีข้อคิดเห็นตลอด ช่างเป็นนักวิชาการจริง ๆ ลักษณะนิสัยของพ่อทำให้พัตได้ข้อคิดไปด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า คนที่เดินป่าปีนเขา (hiker) จะชอบวางก้อนหินซ้อน ๆ กัน เป็นระยะ ๆ เหมือนกับบอกว่า “เคยมีคนเดินมาแถวนี้แล้วนะ ฉันก็เป็นคนหนึ่ง เมื่อเธอมาถึงก็ทำต่อนะ” คือซ้อนก้อนหินต่อไปให้สูงกว่าเดิม บางครั้งก็วางต่อกันเป็นรูปลูกศรเพื่อบอกว่าเดินไปทางนี้นะ เห็นพ่อพยายามวางก้อนหินต่อจากคนที่วางมาก่อน แต่แทนที่จะสูงขึ้น กลับพังลงไม่เป็นท่า กลับต่ำกว่าเดิมเสียอีก (รูป: พ่อชอบวิเคราะห์สิ่งที่พบเห็น ลูกศรบอกทาง และพ่อพยายามวางหินซ้อนต่อ)
เดินผ่านมาได้ประมาณครึ่งทางเห็นจะได้ขาก็เริ่มแข็ง แต่ก็ยังทนได้ เลยเดินต่อไปเรื่อย ๆ แต่แม่สิเริ่มเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มบ่นว่าเหนื่อย ในที่สุดก็มาถึงยอดเขาที่พ่อชี้ให้ดูเมื่อตอนอยู่ที่ตีนเขา รู้สึกว่าคุ้มเหนื่อยจริง ๆ เพราะข้างบนนี้สวยมาก อย่างที่บอกว่าท้องฟ้าที่สีฟ้ามาก ๆ มองลงไปเห็นทะเลทรายและถนนอยู่ไกล ๆ ที่ยาวตรงดิ่งเพราะไม่ต้องมีโค้ง ไม่ต้องหลบอะไร เพราะตัดผ่านทะเลทราย มองเห็นรถวิ่งตัวเท่ามดเท่านั้น มองไปด้านข้างก็เป็นยอดเขาที่เรียงราย พัตก็เลยกดชัตเตอร์ซะไม่มีเหลือ วิวทะเลทรายของที่นี้สวยซะจนต้องลบภาพทะละทรายที่ถ่ายก่อนหน้านี้ทิ้ง เพราะเทียบกันไม่ได้
ก่อนนี้พัตคิดว่าได้ภาพทะเลทรายที่สวยแล้ว แต่มาถึงตอนนี้แล้ว ภาพวิวที่นี้ ตอนนี้สวยยิ่งกว่า เริ่มหิวอีกแล้ว เราทั้งสี่ก็ทานอาหารว่างที่แม่เตรียมมาเป็น ซาเลอรี่ แครอท แอปเปิ้ล เตอร์กีเจอร์กี (เนื้อไก่งวงแดดเดียว หรือเนื้อไก่งวงเค็ม) อันนี้พัตชอบมาก ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็ลงมาจากยอดเขากัน
เราทั้งหมดเริ่มเดินลงจากยอดเขา พ่อกับแม่ก็เดินทิ้งห่างเราทั้งสองอีกเช่นเคย พัตเดินผ่านครอบครัว ๆ หนึ่ง มีพ่อ และลูกชายสองคนที่กำลังเดินสวนขึ้นมา พวกเขากล่าวสวัสดีและถามว่า “How’s up there?” ข้างบนเป็นยังงัยบ้าง “Spectacular “ พัตตอบไป และเขาก็บอกว่าขอให้มีวันที่ดีและสวัสดีปีใหม่ ระหว่างเดินลงมาก็ได้ถ่ายรูปวิวที่เห็นและเพื่อนร่วมทางอย่างลีออง และจบทริปการเดินป่า ปีนเขาด้วยดี
กลับมาถึงบ้านก็พบว่าป้าเตรียมอาหารเพื่องานปาร์ตี้ปีใหม่ใกล้เสร็จแล้ว เป็นดัมพ์ลิงทอด นึ่ง สลัดไข่ต้ม ผักและชีส เราทั้งสี่คนก็ไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเย็นนี้ และรอครอบครัวบริดเจ็ต บ็อบบี้ และเด็ก ๆ ซึ่งปีนี้อลิสันอายุครบสามขวบแล้ว ส่วนเจอรามีอายุสี่ขวบ เมื่อวันเกิดของอลิสันที่ผ่านมา ป้าเล่าให้ฟังว่า ขณะที่เธอเป่าเทียนวันเกิดก็บ่นออกมาว่า ‘ I m so tired with my birthday party” “ เฮ้อ! ฉันละเบื่อกับงานปาร์ตี้วันเกิดซะจริง ๆ” ป้าบอกติดตลกว่า เพิ่งอายุได้สามขวบก็เริ่มเบื่อชีวิตแล้วหลานคนนี้
เจอบริดเจ็ตครั้งนี้ เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือน แต่ป้าบอกว่าเหมือนกับหกเดือน เพราะโดยปกติแล้วเธอเป็นคนค่อนข้างอวบอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เลยมีขนาดพอ ๆ กันกับบ็อบบี้ ซึ่งก็ป้าอีกนั้นแหละบอกว่าสงสัยจริง ๆ ว่าบ็อบบี้เล่นอเมริกันฟุตบอลแล้ววิ่งเร็วมากได้อย่างไร ว่าแล้วป้าก็ไปหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ลงข่าวเกี่ยวกับทีมและรูปของบ็อบบี้ให้ดู บ๊อบบี้เล่นให้กับทีมลีคท้องถิ่นของทูซาน ซึ่งมีด้วยกันหลายทีมและแข่งกันบ่อยมาก เมื่ออิ่มท้องแล้ว เจอรามีก็เริ่มชวนพัตเล่นฟุตบอลจนพัตเริ่มเหนื่อย แต่เจอรามียังต้องการเล่นต่อเลยให้ไปเล่นกับลีอองแทน แล้วก็ไปเล่นกับคุณทวดต่อ เป็นภาพที่น่ารักมากที่ยาย(ทวด สำหรับเจอรามี) เล่นโยนฟุตบอล หลังจากนั้นพัตกับลีอองก็เอาของขวัญปีใหม่ซึ่งเป็นหนังสือให้เด็ก ๆ ที่พัตเป็นคนซื้อเมื่อตอนที่ไปทูซานกับป้าและแม่ โดยป้าช่วยพัตเลือก และยังบอกอีกว่าบริดเจ็ทและบ็อบบี้ไม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังเลย อ้างว่ายุ่ง ส่วนใหญ่จะเลี้ยงลูกกับทีวี ซึ่งป้าและเราทุกคนไม่เห็นด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา ป้าเลยบอกว่าหากหนังสือที่ซื้อให้นี้ไม่มีใครอ่านให้ฟัง ป้าก็จะเป็นคนอ่านให้เด็ก ๆ ฟังเอง เมื่อป้ามีโอกาสที่จะเลี้ยงเด็กทั้งสอง ซึ่งป้าจะเบบี้ซิทให้ประมาณสองครั้งต่อเดือน
คืนนี้ลีอองทำหน้าที่เป็นช่างภาพ ที่ถ่ายร่วมกันในวันปีใหม่ของทุกปี ปีนี้ก็เช่นกัน อลิสันมาแปลกปีนี้ คือทุกครั้งที่ถ่ายรูปหล่อนจะเอามือปิดหน้าทุกครั้งไป ส่วนเจอรามีจะออกท่าทางเหมือนเป็นนายแบบทุกครั้งเช่นกัน จากนั้นพัตก็เอารูปลงเครื่องแลปท็อปที่นำมาด้วย เจอรามีก็เกิดอาการอยางลองสัมผัสคอมฯ ดู พัตก็เลยยกให้เป็นหน้าที่ของลีอองสอนให้ เมื่อเด็ก ๆ เริ่มง่วงนอนพวกเขาก็ขอลากลับกัน เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ห่างจากที่นี้ไปประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้น
วันที่ 2 มกราคม 2553
พบลูกชายป้า…ไบรอันที่ร้านอาหารไทย
วันนี้เป็นวันที่พัตและลีอองช่วยกันซักผ้าอีกครั้ง ที่นี่จะตากผ้ากลางแจ้งเพราะแสงแดดที่จ้า ลมที่พัดอยู่ตลอดเวลาจะช่วยให้ผ้าแห้งเร็วและมีกลิ่นหอม บ้านนี้ทั้งบ้านสนับสนุนพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานของประธานนาธิบดีโอบามา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม อิเล็คตริคคาร์ (รถที่ใช้พลังงานจากการชาร์ตแบตเตอรี่ด้วยไฟฟ้า แทนการใช้น้ำมัน) การทำสวนผักในสนามหน้าบ้าน เหมือนผู้หญิงหมายเลขหนึ่งที่ทำหน้าทำเนียบขาว การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารในครัว เพื่อลดการกำจัดขยะ การแยกขยะจากบ้านก่อนทิ้ง การช็อปปิ้งด้วยถุงที่รียูช การสนับสนุนสินค้าเกษตรในท้องถิ่นที่อยู่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งบ้านของเราทั้งสองที่แมสซาชูเสสก็ทำแบบเดียวกัน สวนผักหลังบ้านของป้าแม้ว่าจะอยู่ในทะเลทราย ยังมีพริกสดเหลือให้ตากแห้งแล้วส่งไปให้เราที่แมสฯ ต้นพีชเพียงต้นเดียวก็ดกเหลือเกิน ป้าต้องเก็บแล้วหั่นแช่น้ำเซรับแล้วส่งให้เราเช่นกัน แม้ว้าตอนนี้ก็ยังมีอยู่ป้าบอกว่าให้พัตกับลีอองช่วยทานเยอะ ๆ เพราะเดี๋ยวจะมีอีกในฤดูร้อนที่จะมาถึง
ระหว่างที่พัตตากผ้าอยู่นั้น ได้ยินลีอองถามแม่ว่า “Where is my wife?” “She’s hanging the clothes outside, go and help her out Leon” แม่ตอบ เห็นมั๋ยละ แม่จะเป็นแบบนี้เสมอคืออยู่ข้างพัตและเถียงแทนด้วย อย่างที่บอกว่าแม่เป็นเหมือนเพื่อนหญิงของพัตคนหนึ่งที่พูดคุยได้ทุกอย่าง ไม่นานลีอองออกมาก็ช่วยตากผ้าจนเสร็จ วันนี้ป้าประกาศว่าได้จองร้านอาหารไทยทีทู ซานไว้ พร้อมกับนัดลูกชายคือไบรอันไว้ด้วย ป้าบอกว่าไม่ต้องการให้ลูกพี่ลูกน้องมาห่างกันไป จากการที่ลีอองเคยเล่นกับไบรอันตอนเด็ก ๆ เมื่อโตขึ้นแม้ว่าต่างคนต่างก็มีหน้าที่การงาน มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวต้องคงไว้ ไบรอันเป็นเซลล์แมนขายรถยนต์โตโยต้าอยู่ที่ทู ซาน ป้าบอกว่าไบรอันไม่ได้ฉลาดอย่างลีออง แต่จะเป็นคนช่างพูด ก็เหมาะแล้วที่ทำอาชีพนี้ และลีอองก็เช่นกัน เหมาะแล้วที่อยู่ในห้องแล็ป คิดค้นโมเดลต่าง ๆ เพื่อให้ไปไวกว่าคู่แข่ง โดยที่ไม่ต้องพูดจากับใครมากนัก อย่างเวลาที่เราทั้งสองไปไหนมาไหนกับป้า และเจอคนที่รู้จักกับป้า ๆ ก็จะแนะนำลีอองให้เขาเหล่านั้นรู้จัก และป้าก็ไม่ลืมสำทับว่า “He is a bright guy and a good one” ลีอองก็ได้แต่ยิ้มอาย ๆ ทุกครั้งไป
ห้าโมงเย็นก็เริ่มออกจากบ้านกัน พัต ลีออง ยาย และป้ามารถคันเดียวกัน โดยมีป้าเป็นคนขับ ส่วนพ่อขับไปกับแม่ โดยก่อนขึ้นรถยายก็ไม่ลืมที่จะเอาโซดายี่ห้อโปรดติดมือมาด้วย ยายจะมีชุดเก่ง คือเมื่อออกจากบ้านไปทานอาหารทีไร ยายก็ต้องใส่เสื้อตัวนี้ สร้อยเส้นนี้ รองเท้าคู่นี้ และเป้ที่ยายทำเองใบนี้ เพราะพัตจำได้ว่า เมื่อปีที่แล้วยายก็ใส่ชุดนี้ตอนออกไปเลี้ยงวันเกิดให้กับลีออง มาดูวิวข้างทางกันดีกว่า เส้นทางจากบ้านไปทู ซาน แม้ว่าเราจะผ่านไปมาหลายรอบ แต่ก็นั้นแหละ เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ตกดินในทะเลทรายก็อดถ่ายรูปไม่ได้จริง ๆ ภาพแสงอาทิตย์ที่กำลังตกสะท้อนมาที่ภูเขาที่มีทะเลทรายอยู่ด้านหน้า ทำให้เห็นแสงที่สวยงามเป็นสีทองบนภูเขาและเห็นเป็นสีฟ้าในส่วนที่เป็นทะเลทราย
ออกจากบ้านมาไม่นานนัก พัตก็ต้องควักกรีนการ์ดออกมาให้เจ้าหน้าที่ของ Homeland Security ซึ่งตั้งป้ายตรวจอยู่ตรวจ แต่ครั้งนี้เมื่อไขกระจกลง เจ้าหน้าที่กลับถามว่า “How is everyone?” “Happy New Year” ไม่มีการตรวจเช็คแต่อย่างได ที่นี่จะตั้งด่านตรวจยี่สิบสี่ชั่วโมง มีรถที่จอดคอยไล่ล่าผู้ที่หลบหนี้เข้าประเทศเตรียมพร้อมอยู่เสมอ และมีบอลลูนสังเกตการณ์อยู่ลอยในอากาศ หากเป็นเวลากลางคืนก็จะเห็นเป็นแสงไฟลอยอยู่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าห่างไปทางด้านหลังไม่กี่ไมล์ก็เป็นประเทศเม็กซิโก ตอนมาที่นี้ครั้งแรกเมื่อปี 07 (2550) ตอนนั้นลีอองกับพัตกำลังเดินทางไปบ้านป้า โดยลีอองเป็นผู้ขับรถ ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนในทะเลทรายแถบนี้แหละ เดินทางจากสนามบินทู ซานไปที่บ้านป้า เนื่องจากลงเครื่องบินดึกแล้วต้องรอเช่ารถที่สนามบินอีก ระหว่างที่ลีอองขับรถอยู่ก็เห็นแสงไฟจากบอลลูน แต่พัตไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็เลยถามลีอองว่านนั้นใช่ UFO หรือ Alien กันแน่ เพราะเคยได้ยินมาว่าแถบอริโซน่าเป็นที่ร่ำลือว่ามีผู้พบเห็น UFO บ่อย ๆ ลีอองหัวเสียยกใหญ่ก่อนอธิบายให้ฟังว่าเป็นการตรวจการณ์ของเจ้าหน้าที่ เพราะว่ามีชาวแม็กซิกันหลบหนีเข้าประเทศ และปัญหาเรื่องยาเสพติด แล้วก็จริง เพราะเมื่อพัตขับรถมาได้อีกไม่นาน ก็ต้องเหยียบเบรกอย่างแรง เพราะมีคนวิ่งข้ามถนนไฮเวย์ สองข้างทางไม่มีบ้านคนอยู่เลย มีแต่ทะเลทราย ลีอองบอกว่านั้นแหละ Alien หมายถึง ชาวแม็กซิกัน นั่นเอง ซึ่ง Alienอีกความหมายหนึ่งก็คือชาวต่างชาติ ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ต่างดาวแต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อมาถึงร้านอาหารไทย มองไปในร้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินีติดอยู่เหนือเคาร์เตอร์เก็บเงิน ก็แน่ใจว่าเป็นร้านอาหารไทยจริง ๆ แม้ว่าชื่อร้านจะเป็น China Thai Cuisine ก็ตาม ก็เลยดีใจว่าวันนี้ได้ทานอาหารไทยที่แท้จริงสักที หลังจากทานอาหารอเมริกัน และญี่ปุ่นมาหลายวัน
ไบรอันมีลักษณะเป็นเซลล์แมนจริง ๆ ไม่มีขาดตกบกพร่อง หรือก็พูดได้ว่า “He’s definitely a salesman stereotype” แล้วพัตก็บอกกับลีอองไปอย่างนี้ “Oh , he surely is!” ลีอองตอบ เราทุกคนก็เริ่มสั่งอาหารกัน วันนี้พัตต้องเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะสั่งอะไร ก็แค่เสนอ อย่างพ่อต้องไม่เผ็ดเลย แม่และป้าพอทานได้บ้าง รวมทั้งต้องเสนอแนะอาหารออร์เดิฟก่อน เราสั่งผัดหมี่กรอบ ปีกไก่กับซอสเผ็ด ไก่สะเต๊ะ แต่ปรากฏว่าคนรับออร์เดอร์ซึ่งเราแน่ใจว่าเป็นคนไทย ไม่ยอมพูดภาษาไทยกับเรา เราก็เลยสั่งอาหารให้ทุกคนด้วยภาษาอังกฤษ เรารู้ว่าเขาเป็นคนไทยเพราะได้ยินเขาพูดกับพนักงานเสิร์ฟอีกคน ทุกคนที่โต๊ะก็ได้ยินเช่นกัน เขาพูดว่า “คนอ้วน ๆ โต๊ะข้าง ๆ น่ะ เธอได้เก็บเงินเขาหรือเปล่า” พ่อเลยถามขึ้นมาว่า เขาพูดว่าอะไร ก็เลยแปลให้ฟังแบบนั้น ทุกคนก็เลยหัวเราะกันใหญ่ เมื่ออิ่มท้องแล้ว ป้าก็ต้องการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พ่อกับลีอองก็เลยผลัดกันเป็นคนถ่าย
แม่กับป้าจะกลับบ้านด้วยกัน เพราะทั้งสองจะหยุดซื้อของกินที่ Trader Joes เป็นซุปเปอร์มาเก็ตบ้านเรา ดูที่นี้ได้ http://www.traderjoes.com/ ที่จริงแล้ว Trader Joes ก็เป็นร้านประจำของเราที่บ้าน Massachusetts พัตจะไปที่นั้นทุกอาทิตย์ ที่ชอบเพราะพนักงานเป็นมิตร ร้านสะอาด มีของกินที่ปลอดสารพิษ หลากหลาย เรียกว่า organic- exotic- fair trade –wild caught fish มีอยู่ครั้งหนึ่งพัตต้องการกินลูกแพร์ ก็เลือกลูกที่จะทานได้เลยมา แต่เมื่อแคชเชียร์เห็นว่ามันเริ่มนิ่มแล้ว ก็เลยเอาไปเปลี่ยนให้เรียบร้อยก่อนที่เราจะเห็น ก็เลยได้ลูกแพร์ที่ยังไม่สามารถทานได้ในวันนั้นมาแทน เฮ้อ พนักงานบริการดีเกินไป จะให้ทำยังงัยได้ล่ะ นอกจากนี้ ที่ชั้นวางของ ก็จะเขียนคำน่ารัก ๆ ไว้ เช่น “try me, I have a lot of antioxidant” พูดถึงเรื่อง fair trade ลีอองมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าหากมีสินค้าประเภทนี้เราก็จะเลือกใช้ก่อน เพราะเป็นการส่งเสริมให้ความเป็นธรรม ให้ราคาที่ยุติธรรมแก่ผู้ผลิต ไม่ให้พ่อค้าคนกลางเอาเปรียบผู้ผลิต เท่าที่ซื้อประจำก็เป็นกาแฟจากทวีปแอฟริกา เป็นต้น ด้วยความที่เป็นคนแบบนี้ ปีที่แล้วลีอองก็สั่ง fare trade flower มาให้ในวันวาเลนไทน์
เราทั้งสองกลับบ้านกับพ่อละก็ยาย พ่อขับรถส่วนยายนั่งมาด้านหน้ากับพ่อ ยายจ้อไม่ยอมหยุด โชคดีที่พ่อมือโปรทางภาษาญี่ปุ่น บางครั้งป้ากับแม่ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ยังต้องถามพ่อ ว่าภาษาญี่ปุ่นคำนี้หมายความว่าอย่างไร ก็พ่อทำงานให้บริษัทญี่ปุ่นที่ติดต่องานกับชาวอเมริกัน จะไม่ให้โปรได้อย่างไร พ่อยังสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ด้วย เพราะคุณปู่เป็นคนฝรั่งเศส แต่ไม่ได้ถามพ่อว่าสามารถพูดภาษาโปรตุเกสได้หรือไม่ เพราะคุณย่าเป็นคนโปรตุเกส
วันที่ 3 มกราคม 2553
วันเกิดของเจ้าลีออง
เราสองคนเพิ่งตื่น กี่โมงแล้วนี่ ออกมาเห็นพ่อกับแม่เพิ่งกลับมาจากเดินออกกำลังกายกัน พวกเขาตื่นกันตอนไหนนี่ วันนี้ทุกคนอวยพรวันเกิดให้ลีออง กอดกันยกใหญ่ พ่อบอกว่า “ Morning Birthday Boy” แล้วก็เริ่มเล่าตอนที่แม่คลอดลีอองว่า เป็นเดือนมกราคมที่หิมะตกหนักมากที่รัฐ Vermont หนูน้อยลีอองต้องการที่จะออกมาดูโลกก่อนที่หมอจะมาเสียอีก น้ำหนักมาก กินมาก อ้วนจ้ำม่ำ พ่อบอกว่าเวลาลีอองร้องให้ พ่อจะอุ้มไปเดินนอกบ้านเพื่อตากหิมะ ลีอองก็จะหยุดร้อง แล้วก็หัวเราะแทน คนอะไรชอบความเย็นตั้งแต่เป็นทารก โตขึ้นก็เลยมาซื้อบ้านอยู่ที่มีหิมะหนาหลาย ๆ ฟุตอย่างทุกวันนี้ พัตพูดกับพ่อไปอย่างนั้น ส่วนแม่ก็เล่าว่า ลีอองนะเวลาอารมร์ดี ก็ยิ้มน่ารัก แต่เวลาร้องก็น่าตื้บ (พัตคิดเอง) when he cried just like being in hell but when he had a good mood, he just liked an angel” และเมื่อยายไปเยี่ยมลีอองที่นิว ยอร์ค ทุกครั้งลีอองจะไม่ยอมให้ยายกลับ จะเริ่มต้นด้วยหน้าที่บอกบุญไม่รับก่อนที่จะร้องให้และถามว่า “Why you have to go back?” เด็กคนนี้ติดยายจริง ๆ ถึงว่าสิ ดู ๆ ไปนะ ยายรักลีอองมากเหมือนกัน
หลังจากทานอาหารเช้า ทุกคนก็รีบทำหน้าที่กัน ยายเก็บโต๊ะ ส่วนพัตและแม่เตรียมทำซีสเค้ก ซึ่งจะให้กับลีอองเป็นวันเกิดที่จะมีขึ้นที่นี้ เย็นนี้ ที่ต้องรีบทำเพราะชีสเค้กต้องอบ แล้วถึงจะเอามาทำส่วนหน้าเค้กได้ และก็ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหลายชั่วโมงถึงจะอร่อย พ่อนั้นก็ยุ่งอยู่กับการนวดแป้งเพื่อทำเส้นอูดอน หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น ส่วนป้าออกไปซื้อของเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำเทมปุระในตอนเย็น แล้วลีอองล่ะหายไปไหน ลีอองไม่ได้หายไปไหนหรอก คอยแต่เป็นตัวป่วนคนนั้น คนนี้ไปเรื่อย ๆ รวมทั้งถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอเล่น เฮ้อ! ก็สมแล้ว ก็วันนี้เป็นวันเกิดของเขานี่นา
การทำชีสเค้กไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด อย่างแรกที่ต้องทำคือบดขนมปังกรอบแล้วผสมกับเนยและน้ำตาลนิดหน่อยแล้วนำไปอบพอให้แข็งเพื่อทำเป็นพื้นเค้ก ในขณะเดียวกันก็บดส่วนผสมระหว่าง ค็อตเทจชีสและครีมชีส น้ำตาล เปลือกส้ม และไข่ให้เข้ากัน แล้วเทลงไปบนพื้นเค้กที่อบก่อนหน้านี้ จากนั้นก็นำไปอบให้ฟู ประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ แล้วปล่อยให้เย็นประมาณสามสิบนาที ขั้นตอนสุดท้ายก็ทำหน้าเค้ก โดยการผสมโยเกิร์ต น้ำตาลวางบนหน้าเค้ก แล้วนำไปแช่ตู้เย็นประมาณสี่ชั่วโมงก็อร่อยได้แล้ว เมื่อทุกอย่างลงตัว พัตก็ขอมานั่งเขียนบันทึกนี้นี่แหละ ยายไปนอนพัก ส่วนแม่ไปอ่านหนังสือ ถึงตอนนี้พ่อกับลีอองก็เลยชวนกันไปทำไม้สำหรับค้ำยันต้นพีชของป้าที่กำลังจะล้ม เนื่องจากไม้ที่เคยค้ำก่อนหน้านี้ซึ่งสามีของป้าที่เสียชีวิตไปแล้วที่เป็นผู้ทำไว้ได้ผุพังลง หากพ่อกับลีอองไม่ทำตอนนี้มีหวังต้นพีชต้องล้มลงในหน้าฤดูร้อนที่จะมาถึงแน่นอน เพราะลีอองกับพ่อจะมาที่นี่อีกทีก็เป็นปลายปีนี้ ต้นพีชต้นนี้คงไม่สามารถรอได้
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง พัตก็เริ่มหิวก่อนใครเพื่อนเหมือนเคย แม่กับพ่อจะพูดเสมอว่า ทำไมเรากินตลอดเวลาแต่ไม่ยักกะอ้วน ก็เราออกกำลังกายทุกวัน และอาจจะเป็นเพราะระบบการเผาผลาญและการขับถ่ายที่ดีก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนตามมาให้ปวดหัว แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นานก็อ้วนได้เหมือนกัน อย่าประมาทไปเชียว มื้อเที่ยงที่นี้ไม่ได้ทานเป็นมื้อที่นั่งทานที่โต๊ะหรือปรุงอาหารเต็มรูปแบบ แต่จะทานประเภทคล้าย ๆ ของว่างมากกว่า อย่างวันนี้ก็จะมีถั่วรวมมิตร ไม่ว่าจะเป็นพีแคน เมล็ดสน อัลมอนล์ เฮเซลนัท วอลนัท บราซิลนัท แครนเบอรี่แห้ง เป็นต้น นอกจากนี้มีเบบี้แครอท ซาเลอรี่ กรอบ ๆ อร่อยดี รวมทั้งสวิสชีส เที่ยงวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ลีอองรอคอย ไม่ได้เกี่ยวกับเป็นวันเกิดของเขาหรอกที่รอ แต่เป็นทีมอเมริกันฟุตบอลที่ชอบมาตั้งแต่เด็กต่างหาก นั่นคือทีมอริโซน่า คาร์ดินัลส์ ที่ไม่เคยชนะเลย แต่ลีอองก็เชียร์อยู่นั่นแหละ ทีมนี้ทำได้ดีที่สุดก็รอบรองสุดท้ายก่อนไปซุปเปอร์บอลเมื่อปีที่แล้ว พัตจำได้ว่าตอนนั้นลีอองดูเกมส์อยู่ที่บ้าน วันนั้นเขาก็ไปซื้อเบียร์มา พัตก็ทำกับแกล้มให้เป็นปีกไก่ทอดกับซอสเผ็ด มันฝรั่งทอดทานกับซัลซ่า และข้าวโพดอบ ปรากฏว่าลีอองมัวแต่ตื่นเต้นกับเกมส์ ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรหรอก ส่วนใหญ่เราก็เหมาไปคนเดียว
เที่ยงวันนี้ทุกคนก็เลยมานั่งทานอาหารว่างที่เป็นเสมือนอาหารเที่ยงกันที่หน้าทีวีเพื่อช่วยลีอองลุ้นฟุตบอล แต่ก็อย่างที่บอก คะแนนห่างกันมากเหลือเกิน ลีอองดูไปก็หลับไป ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยกันไปทำอย่างอื่น น่าสงสารลีอองจริง ๆ แต่ก็ยังรักเหนียวแน่นกับทีมนี้ เมื่อไรจะเปลี่ยนใจซะทีนะ น่าจะเชียร์ทีมนิว อิงแลนด์ซึ่งเป็นทีมในเขตรัฐแมสซาชูเสส คือทีม เพ เทรียส (Patriots)
บ่ายแก่ ๆ ในแถบทะเลทรายแบบนี้ ท้องฟ้าปรอดโปร่ง สีฟ้าสวย ลมพัดมาเบา ๆ บรรยากาศน่าจะออกไปเดินเล่น เห็นพ่อกับแม่นั่งอ่านหนังสือ ดูแล้วสงบดี ไม่อยากรบกวนชวนออกไปเดิน อีกอย่างเมื่อเช้าเขาก็ออกไปเดินมาแล้ว เห็นลีอองกับป้านั่งออกแบบส่วนต่อเติมบ้านของเรา ป้าเป็นเจ้าหน้าที่เขียนแบบของบริษัทเอกชนแถวนี้ ก็เลยมีความรู้เรื่องการออกแบบด้วย ป้าช่วยได้มากในเรื่องนี้ พัตเดินออกไปบอกป้าว่าขอยืมตัวลีอองหน่อย อยากจะออกไปเดินเล่น ป้าก็ตกลงเพราะป้าเองก็จะได้เตรียมตัวทำเทมปุระเพิ่มเติมกับอูดอนที่พ่อนวดแป้งไว้เมื่อตอนสายของเช้าวันนี้
ออกไปเดินเล่น ก็ไม่ลืมเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย ตั้งใจว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกในไม่ช้า อาจจะได้ภาพสวย ๆ ที่แสงอาทิตย์ส่องมาที่ภูเขา รวมทั้งตั้งใจที่จะถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ ชุมชนที่ป้าอยู่ บ้านเรือนแถบนี้จะเป็นทรงเตี้ยมาก ๆ เหมือนไม่มีหลังคา หมายความว่า หลังคาจะแบนราบ และทำด้วยวัสดุชนิดเดียวกันกับที่ทำตัวบ้าน คล้าย ๆ จะเป็นซีเมนต์ทั้งหมด แต่ไม่เชิงที่จะเป็นซานตา เฟ่ ซะทีเดียว เราเดินผ่านสนามเด็กเล่น และที่ออกกำลังกายของเยาวชน เห็นเด็กวัยรุ่นแอฟริกัน-อเมริกันกำลังบาสเก็ตบอลกันอยู่ บางคนก็เล่นสเก็ทบอร์ด บางคนก็ปั่นจักรยาน พูดถึงสเก็ทบอร์ดแล้วเนี่ย เด็กนักเรียนที่นี่นะ เมื่อลงจากรถโรงเรียนสีเหลืองแล้ว จะเดินไม่เป็น โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย พวกเขาจะโยนสเก็ทบอร์ดลงมาจากรถก่อนแล้วก็กระโดดขึ้น เดินทางกลับบ้านกันแบบนี้ (รูป : สนามเด็กเล่นและแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบทิวเขาในยามเย็น)
เมื่อเดินออกมาถึงริมไฮเวย์หรือทางด่วนที่เชื่อมระหว่างเมือง ก็ได้เก็บภาพแสงอาทิตย์ที่ตกมากระทบภูเขาได้ดั่งที่ตั้งใจไว้ แล้วก็ผ่านหอสมุดชุมชน ทาวฮอลล์ (เหมือนที่ทำการอำเภอบ้านเรา) รวมทั้งศูนย์กลางทำกิจกรรมของคนชรา เหล่านี้ดูมีลักษณะค่อนไปทางซานตา เฟ่ สีที่ทาออกจะฉูดฉาด น้ำตาลตัดกับส้ม ชมพูหรือสีฟ้า เคยคุยกับแม่ว่า เราชอบบ้านที่เป็นทรงแบบนี้มาก แม่ก็ชอบเช่นกัน แต่ไม่สามารถสร้างแถวแมสซาชูเสส หรือนิว ยอร์คที่พ่อกับแม่อยู่ได้ เพราะเวลาหิมะตก จะไม่ละลายได้ง่าย ไม่มีทางไหลระบาย จะทำให้หิมะติดอยู่ และน้ำหนักทำให้หลังคาพังได้ แม้ว่าบ้านที่มีหลังคาลาดเอียงแล้ว หากว่ามีหะมะติดอยู่หนามาก ๆ ก็ต้องปีนกวาดหิมะให้ตกลงมา (รูปด้านล่างเป็นห้องสมุดของเมือง ทาวฮอลล์ และบรรยากาศดวงอาทิตย์ตกดินบริเวณบ้านป้า)
ในขณะที่กำลังชื่นชมกับบรรยากาศอยู่นั้น เราทั้งสองคนได้ยินเสียง มาจากถนนว่า “ Yo!! Whats up dude?” มองไปก็เป็นวัยรุ่นที่ไขกระจากรถยนต์ลงแล้วก็แซวเล่น ลีอองบ่นว่าไร้สาระจริง ๆ หรือไม่มีอะไรทำก็ไม่รู้ ตอนนั้นเราเดินอยู่หน้าสถานีดับเพลิง ก็ได้ยินเสียงไซเรนและรถดับเพลิงที่เร่งรีบออกไปเพื่อช่วยเหลือใครในซอยบ้านป้าแน่ ๆ เอ๊ะ หรือว่าป้าทำเทมปุระแล้วไฟไหม้ ก็เลยรีบวิ่งกลับกับลีออง ปรากฏว่าเป็นบ้านในซอยถัดไปที่เต็มไปด้วยควันโขมง แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ช่วยได้ทัน โชคดีไป
เมื่อมาถึงบ้าน ยายก็เพิ่งตื่นจากการนอนพัก ส่วนป้ากำลังทำเทมปุระ พ่อก็วุ่นอยู่กับการตัดเส้นอูดอน พัตกับลีอองก็เลยชวนยายมานั่งดูวีดีโอเทปของลีอองที่เล่นละครเวทีของโรงเรียน ก็น่ารักดี ยายหัวเราะตลอด คล้าย ๆ เป็นธรรมเนียมอีกแล้วคือกิจกรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาที่นี้ก็คือดูวีดีโอเก่า สมัยลีอองเป็นเด็ก หรือไม่ก็ดูรูปถ่าย วีดีโอที่พัตชอบมากคือตอนที่ลีอองอายุประมาณสิบกว่าขวบ เขาก็เล่นไวโอลินขณะที่พ่อเล่นเปียโน เป็นภาพที่น่ารักมาก ดูวีดีโอยังไม่จบทุกอย่างก็พร้อมสำหรับมื้อเย็นวันนี้ที่เป็นมื้อพิเศษทุกคนลงมือทำอาหารให้ลีออง น่าอิจฉาจริง ๆ ลูกรักของพ่อแม่ หลานรักของป้าและยาย และเย็นนี้พ่อก็จะเล่นเปียโน ส่วนแม่จะร้องเพลง ยายก็จะเล่นเพลงแฮปปีเบิร์ดเดย์ให้ลีอองด้วย (รูป ป้ากำลังทำเทมปุระ พ่อกำลังตัดเส้นอูดอน และเส้นอูดอนที่ตัดแล้ว)
ในที่สุดก็ได้ทานอาหารเต็มมื้อซะที หลังจากที่ทานแค่อาหารว่างเมื่อเที่ยงนี้ เฮ้อ ไม่ค่อยคุ้นเคย อาหารมื้อพิเศษมื้อนี้ประกอบไปด้วยบะหมี่อูดอนที่พ่อทำ เทมปุระที่ป้าทำ ส่วนแม่ทำอาจาดญี่ปุ่น อันนี้พัตเรียกเองนะ เพราะมีลักษณะแบบนั้นคือ เป็นแตงกวาที่ปอกเปลือกและหั่นบาง ๆ ขยำกับเกลือ แล้วก็ผสมกับสาหร่ายทะเลที่แช่น้ำจนนุ่มแล้ว ใส่ปลาเล็กปลาน้อยและน้ำส้ม แค่นี้ก็อร่อยได้แล้ว
เมื่อมื้อเย็นผ่านไป ยายก็ไปชงชาเขียวให้กับทุกคน เป็นการทำหน้าที่ของยายที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ยายจะตรงดิ่งไปชงชาโดยไม่โยกโย้ ทุกคนก็เป็นที่รู้กันว่าหลังอาหารมื้อเย็นก็จะเป็นชาเขียวที่อร่อยที่สุดในโลกของยาย ลีอองได้ถ่ายวีดีโอตอนยายชงชาไว้ พัตคิดกับลีอองไว้ว่า เมื่อเรากลับไปบ้านที่แมสซาชูเสส เราจะซื้อ กาชงชาที่เป็นแบบ cast iron อย่างดี อย่างที่ยายมีนี้แหละ มาดูวิธีการชงชาเขียวของยายกัน ก็คือเริ่มต้นด้วยการต้มน้ำด้วยกาน้ำธรรมดาให้น้ำเดือด จากนั้นก็รินน้ำใส่ภาชนะที่ทนความร้อนได้ เช่น pyrex cup เพื่อให้น้ำลดความร้อนลง เพราะถ้าร้อนมากไป รสชาติชาจะขม จะไม่กลมกล่อม จากนั้นก็รินใส่กาชาที่เป็น cast iron (ซึ่งมีใบชาอยู่ในตะแกรงพร้อม) ทันที่ วิธีการรินก็ให้ยกสูง ๆ เพื่อเป็นการลดความร้อนอีกที จากนั้นก็ปิดฝากาชา จับดูที่ฝากา เมื่อที่ฝาเริ่มร้อนก็เสริฟได้เลย เพราะถ้ารอนานไปกว่านี้ก็จะขมมากไป ทุกคนพร้อมกันที่หน้าทีวี รอชาเขียวของยาย แม่บอกว่ารอให้หายอิ่มสักหน่อยแล้วลีอองจะเป่าเค้กที่พัตกับแม่ทำไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกคนก็มาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง ป้าไปหยิบการ์ดที่เขียนร่วมกับยายมาให้หลานรัก ส่วนพ่อกับแม่ก็เช่นกัน ส่วนพัตนั้นให้ของขวัญลีอองตอนอยู่ที่บ้านที่แมส ฯ แล้ว ปีนี้พัตให้เป็นที่โกนหนวดไฟฟ้า ส่วนวันคริสมาสต์ให้เป็นแปรงสีฟันไฟฟ้า เมื่อทุกคนพร้อมลีอองก็เป่าชีสเค้ก ทุกคนช่วยกันลุ้นการตัดเค้กกันใหญ่ เพราะไม่ได้ทำให้มีดร้อนพอ ทำให้ไม่สามารถตัดได้ดี อีกอย่างเค้กเพิ่งออกมาจากตู้เย็น แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ลีอองเริ่มอ่านการ์ด พ่อบอกว่าให้พัตอ่านด้วย ปีนี้พัตต้องไม่ร้องไห้ เพราะเมื่อปีที่แล้วแม่เขียนการ์ดซึ้งจริง ๆ อ่านแล้วน้ำตาซึม แล้วพัตก็ทำได้สำเร็จ อ่านแล้วผ่านไปได้ด้วยดี โดยแม่กับพ่อเขียนได้ความว่า “พวกเขาภูมิใจในตัวลีอองมาก ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปรวดเร็ว และเพียงเวลาไม่กี่ปีลีอองก็ประสบความสำเร็จหลายอย่าง เริ่มจากจบปริญญาโททางด้านวิศวกรรมการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ แต่งงานมีครอบครัว มีบ้าน รถที่สะดวก แต่ไม่สำคัญเท่าว่าลีอองมีความสุขเพราะได้พัตมาอยู่ด้วย ต้องขอขอบคุณพัตที่ทำให้ลีอองมีความสุข” อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเฉพาะการ์ดอย่างเดียวนะ แน่นอนว่ามีเช็คของขวัญด้วย อันนี้ดีที่สุด ทุกครั้งที่กลับมากจาอริโซน่า ต้องไปธนาคารเพื่อเอาเช็คเข้า เพราะพวกเราจะได้เช็คเป็นของขวัญในวันคริสมาสต์ และวันเกิดลีออง ทุกคนจะให้เช็คเป็นของขวัญวันเกิดพัตทุกปีเช่นกัน
แม่กับพ่อช่วยกันเล่าอีกว่า ตอนลีอองเป็นเด็กนักเรียน ก็รับจ้างรับตัดหญ้าที่สนามหน้าบ้านของเพี่อนบ้าน รับทำอุปกรณ์การเรียน เช่น เก้าอี้ โต๊ะ และอื่น ๆ ให้กับโรงเรียนที่เรียนอยู่ ไม่นานลีอองก็สามารถซื้อรถมือสองด้วยตนเองมาใช้ได้ โรงเรียนที่ว่าก็คือ โรงเรียน Hawthorn Valley School ซึ่งเป็นโรงเรียนทางเลือก คือไม่เน้นการสอนที่เป็นหลักสูตรของรัฐบาล แต่เป็นการสอนให้เด็กคิดเป็น ให้เด็กเล่น และมีความสุข เป็น An Independent Waldorf School และเข้าไปดูเพิ่มได้ที่นี้ http://hawthornevalleyschool.org/ แล้วจะไม่ผิดหวัง นอกจากนั้นตอนเป็นวัยรุ่น ลีอองยังชอบซ่อมรถกระบะเก่า ๆ ของพ่อ ช่วยพ่อสร้างบ้านซึ่งเป็นบ้านที่พ่อกับแม่อยู่ตอนนี้ ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเป็นคนที่ชอบทำอะไรทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นซ่อมบ้าน ซ่อมรถ อายุแค่นี้แต่ประสบการณ์ไม่น้อยเลย “Not only he is a D-I-Y (Do It Yourself) person but he also a handy man” พัตพูดกับพ่อและแม่ไปแบบนั้นเสมอ หมายความว่า เขาไม่เพียงแต่เป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตนเองอย่างเดียว แต่เขายังเป็นคนสารพัดช่างอีกด้วย อย่างเช่น เวลาเติมน้ำมัน ปั๊มน้ำมันที่นี่ส่วนใหญ่จะให้บริการแบบบริการตนเอง (Self Service) แต่ก็จะมีบ้างที่พนักงานเติมให้ (Full Service) ตัวพัตเองก็จะมองหาแต่ที่มีคนเติมให้ เพราะไม่อยากลงจากรถ เป็นคนขี้เกียจและเคยชินกับความเป็นอยู่ในไทย แต่ลีอองจะตรงกันข้าม เขาจะไม่ชอบแบบนี้เลย ครั้งหนึ่งพัตขับรถเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั๊มที่มีคนเติมให้และลีอองนั่งไปด้วย ไปถึงพัตก็บอกว่า “ Can I have a regular and fill It up, please?” ลีอองเอ่ยปากว่าพัตมือโปรจริง ๆ เพราะตัวเขาเองไม่เคยทำแบบนี้เลย หรือเวลาไปซื้อของตามร้านต่าง ๆ ลีอองจะชอบเช็คเอาท์ด้วยตนเอง ไม่พึ่งพนักงานแคชเชียร์
[ Mission Statement : Hawthorne Valley Waldorf School nurtures the artistic, academic, physical and moral development of the growing child by supporting the three-fold nature of the human being, which encompasses body, soul and spirit. The school strives to build a living connection to the environment, while cultivating social responsibility and fostering a will to work in the world. This education of the whole human being strives to develop freethinking, reverent individuals who will impart purpose and direction to their lives and make meaningful contributions to the future] และนี้คือรูปโรงเรียนประถมของลีออง
ในความคิดของพัตต้องยอมรับว่าการศึกษาในระดับต้น ๆ ของเรา จะช่วยให้เราโตมาและเป็นคนแบบนั้น เราไม่สามารถสังเกตจากตัวเราเองได้อย่างชัดแจ้ง แต่เท่าที่พัตสังเกตจากลีออง ทุกอย่างที่เป็นเขาในวันนี้ก็คือสิ่งที่เขาเรียนรู้มา อย่างที่โรงเรียนเขาสอน ลีอองจะชอบประดิษฐ์นั่น ประดิษฐ์นี่ เอาใจใส่และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อชุมชน มีความคิดเป็นอิสระ ในขณะเดียวกันก็รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แน่นอนที่สุดว่าการสอนของพ่อแม่ก็มีส่วนสำคัญมาก พ่อกับแม่ลีอองย้ายมาอยู่ที่นิว ยอร์ค (จากเวอร์มอนต์) ก็เพราะต้องการให้อยู่ใกล้โรงเรียนนี้นี่เอง แม่เล่าให้ฟังว่า วันแรกที่ลีอองกลับมาจากโรงเรียน ลีอองบอกกับแม่ว่า “Okason, I really like this school” ในบ้านของพ่อกับแม่ แม้แต่บ้านเราตอนนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งของที่ลีออง ยูกิ และมิล่า สามพี่น้องที่ประดิษฐ์ที่โรงเรียน และพ่อกับแม่ก็ใช้เป็นสิ่งตกแต่งบ้านด้วยความภูมิใจ
วันที่ 4 มกราคม 2553
เตรียมตัวกลับบ้านเรา
พรุ่งนี้ก็จะกลับไปบ้านเราเองที่แมสซาชูเสส ไม่ใช่ว่านับวันจะกลับบ้านหรอกนะ แต่ก็อีกนั่นแหละคิดถึงบ้านเหมือนกัน ฝ่ายลีอองนอกจากคิดถึงบ้านแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ก็เกิดเป็นโรคคิดถึงออฟฟิศขึ้นมา พัตก็เลยคุยกับลีอองว่าจะอยู่ถึงวันสุดท้ายหรือเปล่านะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลีอองมาพักผ่อนโดยไม่มีโน้ตบุ๊คของที่ทำงานมาด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ส่วนพัตเอาของพัตมาเองมา เพราะตั้งใจว่าจะเขียนบันทึกการเดินทางและไว้เก็บรูปภาพ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระมากนักเมื่อกลับไปถึงบ้าน พูดถึงเรื่องโน้ตบุ๊คแล้วเนี่ย ที่บ้านต้องมีกฎว่าห้ามวางไว้บนโต๊ะอาหารและห้ามทำงานไป ทานอาหารไป เพราะก่อนหน้านี้เราทั้งสองไม่เป็นอันทานอาหาร หรือไม่ได้คุยกันเท่าไรระหว่างทานอาหาร เพราะทานไปดูคอมพิวเตอร์ไปกันทั้งสองคน ซึ่งไมใช่สิ่งที่ดี เพราะมื้อเย็นควรจะเป็นมื้อที่ผ่อนคลาย ได้คุยกัน และซาบซึ้งในรสชาติของอาหารที่ (แสนอร่อย) เราทำ จะทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีฟรีโซนอีกที่คือในห้องนอน นอกจากต้องไม่มีคอมฯ แล้วก็ต้องไม่มีทีวีด้วย
ตื่นมาวันนี้ ตั้งใจว่าจะซ่อมเสื้อโค๊ตที่กระดุมหลุดตั้งแต่ทริปที่ซาน ฟรานซิสโก อุตส่าห์ซื้อของแพง (สำหรับเรา) ของ DKNY มาใช้เพื่อทริปที่ซาน ฟรานซิสโก และที่นี่ แต่ยังไม่ทันไรกระดุมก็หลุดซะเกือบหมด ซ่อมก็ไม่เป็นเพราะว่าเป็นกระดุมขนาดใหญ่ อีกอย่างลีอองบอกว่าต้องติดกระดุมเม็ดเล็กไว้ด้านในด้วย เพื่อความแข็งแรงทนทาน จะได้ไม่หลุดและหลวมอีก ลีอองผู้น่าสงสารก็พยายามซ่อม เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ก็ยังไม่ได้สักกระดุม แม่เดินมาบอกว่าเขาจะช่วยซ่อมให้เอง เฮ้อ ลูกสะใภ้อย่างเรา แม่สามีก็ต้องทนให้ได้
(รูป เสื้อโค๊ตเจ้าปัญหา)
เล่าไปซะไกล ขณะที่พัตนั่งเล่าไปบ่นไปอยู่ตอนนี้ แม่เดินมาถามว่าพัตจะไปกับพวกเขาหรือไม่ คือพ่อกับแม่กำลังจะไปเที่ยวเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนประเทศเม็กซิโก คงห่างจากที่นี้ประมาณสี่สิบห้านาที เราบอกขอบคุณ แต่ไม่ไปเพราะต้องการจะเขียนบันทึกให้เสร็จและจัดการลบรูปถ่ายที่ถ่ายได้ไม่ดีออกไป ส่วนลีอองไม่ไปแน่นอนเพราะต้องการออกแบบส่วนที่ต่อเติมบ้านให้แล้วเสร็จ ซึ่งตอนนี้กำลังคุยเรื่องนี้กับป้าอยู่ที่ห้องทำงานของป้า แล้วเราทั้งสองก็จะเก็บของลงกระเป๋าด้วย พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบร้อน แม่กับพ่อก็บอกลา พัตก็บอกว่าขอให้มีวันที่ดี และอย่าลืมถ่ายรูปมาฝาก แม่บอกว่า “ I m not so sure about taking picture, I m not a professional like you” พัตก็ไม่ใช่มืออาชีพหรอก แต่อาศัยที่ชอบถ่ายและชอบถูกถ่าย เวลาเห็นแสงสวย ๆ วิวสวย ๆ หรือ สิ่งแปลก ๆ ก็ต้องถ่ายทุกที ถือคติว่ารูปถ่ายหนึ่งรูปแทนคำพันคำ จนบางครั้งลีอองเห็นอะไรที่คิดว่าเราชอบก็จะถามว่า “picture time?” คือ จะถ่ายรูปหรือไม่ ทำนองนั้น พ่อกับแม่เคยพูดว่า พัตน่าจะไปเรียนถ่ายรูปเพิ่มเติมและอาจจะเป็นงานอดิเรกที่ดี เพราะพวกเขาบอกว่าพัตมีทักษะในทางนี้ (รูป: ป้ากับลีอองกำลังปรึกษากันเรื่องการต่อเติมบ้านเราในชุดนอนทั้งสองคน และยายกำลังอ่านหนังสือพิมพ์)
เที่ยงนี้ แม่ไม่อยู่ ป้าก็เลยทำแซนวิชไข่ให้กับทุกคน ก็ง่ายมาก คือใช้ขนมปังโฮลวีท อาจจะโทสก่อนหรือไม่ก็ได้ ทาด้วยมายองเนส (เมล-เนส) โรยด้วย เกลือ พริกไทย และไข่ต้มที่หั่นเป็นลูกเต๋าหรือฝานก็ได้ตามชอบ แค่นี้แหละก็อร่อยแล้ว นอกจากนี้ก็มีผลไม้รวม และเนื้อเตอร์กีเจอร์กี ของชอบของเรา เท่านี้แหละอาหารเที่ยง เดี๋ยวเราก็หิวแล้วรับรองได้เลย ป้าบอกว่าเย็นนี้จะเป็นอาหารแบบฮ็อทพ๊อท
แม่กับพ่อกลับมาบ้าน แม่บ่นว่าไม่ได้น่าเที่ยวอย่างที่คิด พ่อบอกว่าค่อนข้างอันตรายเพราะว่าใกล้ชายแดน และค่อนข้างอยู่ห่างจากชุมชนใหญ่ รวมทั้งมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ก็ดีแล้วที่เราไม่ไปด้วย ว่าแล้วแม่ก็เข้าครัวเตรียมอาหารเย็น เป็นฮ็อทพ๊อทอย่างที่บอก ลักษณะก็คล้าย ๆ กับ เนื้อย่างเกาหลีบ้านเรา แต่จะเป็นถาดร้อนไฟฟ้า โดยรองก้นถาดด้วยน้ำมันมะกอก แล้วก็วางผัก เนื้อตามชอบ ระหว่างการทานนั้นก็ต้องหยดเหล้าสาเก และซอสถั่วเหลืองอยู่เรื่อย ๆ มื้อนี้มีผักหลายชนิด เช่น ชูคินี (zucchini) ทั้งเขียวและเหลือง ชูคินีจะมีลักษณะคล้าย ๆ ฟักผสมกับแตงกวาบ้านเรา จะอร่อยมาก โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่ฟาร์มข้างบ้านเรามีมากหลากหลายชนิด สามารถผัด แกง อบ ใส่ในสลัด หรือซุป (รูป : ชูคินี ปลามาฮิ มาฮิและฮ็อทพ๊อท )
นอกจากนี้ก็มีหน่อไม่ฝรั่ง ถั่วงอก กรีนบีน เห็ดหอมสด และหอมใหญ่ ส่วนเนื้อก็มีปลาแซลมอน ปลามาฮิ มาฮิ กุ้ง และปลาหมึก วันนี้ทุกคนพร้อมหน้ากันดื่มเบียร์ ที่ลีอองกับพ่อออกไปซื้อมาเป็นเบียร์ที่ผลิตในท้องถิ่น สองพ่อลูกนี้ไปไหนก็ทดลองเบียร์ท้องถิ่นไปทุกที่
วันที่ 5 มกราคม 2553
ลาก่อนอริโซน่า แล้วพบกันใหม่
จะร้องว่า “เย้” หรือ “เฮ้อ” วันสุดท้ายแล้วดีนะ จะอย่างไหนก็เถอะ วันนี้ทุกคนตื่นกันแต่เช้าและไปเดินออกกำลังกายกันพร้อมหน้า ยกเว้นคุณยาย พัตคิดว่าเป็นการดีที่ออกกำลังกายก่อนที่จะไปนั่งอุดอู้อยู่บนเครื่องบินอีกเจ็ดชั่วโมง บินจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก ต้องบินจากทู ซาน อริโซน่าไปต่อเครื่องที่ชิคาโกซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามบินที่มีเครื่องดีเลย์มากที่สุดสนามบินหนึ่งในอเมริกา รวมทั้งตอนนี้ก็เป็นฤดูหนาวไม่รู้ว่าจะมีพายุหิมะที่ทำให้เครื่องต้องล่าช้าอีกหรือไม่ จึงเป็นการดีที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วยการออกกกำลังกาย พัตเดินไปก็มองไปรอบ ๆ ซาบซึ้งซะบรรยากาศทะเลทราย ทิวเขา และท้องฟ้าที่สีสวย ลมพัดอุ่น ๆ ในยามเช้าแบบนี้ก่อนที่จะไปเจอกับหิมะที่ปกคลุมไปทุกส่วนของบ้าน และรับประกันได้เลยว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะลีอองได้ติดตามการพยากรณ์อากาศของทางแมสฯ อยู่ทุกวัน แล้วก็คิดไปว่ารถที่จอดไว้ในที่จอดรถระยะยาวที่สนามบินแมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์ ที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณสามสิบนาที ป่านนี้หะมะคงปกคลุมไปหมดแล้ว แล้วเราก็ไปถึงที่นั้นค่อนข้างดึกเสียด้วยคือถ้าเครื่องฯ ไม่สายก็จะถึงประมาณห้าทุ่ม
หลังจากกลับมาจากการเดินออกกำลังกาย แม่ก็จัดการหั่นฝอยแอปเปิ้ลเพื่อใส่ในออร์แกนิคเพลนโยเกิร์ต ผสมด้วยเมเปิ้ลเซรับ ให้กับทุกคน รวมทั้งทำโอ๊ตมีลด้วย และก็มีกาแฟ เช้านี้ทานอาหารเช้ากันแบบเบา ๆ เพราะว่าทุกคนไม่เว้นคุณยายก็จะไปทานอาหารเที่ยงเป็นอาหารญี่ปุ่นที่เป็นร้านมีชื่ออยู่แถวสนามบิน ก่อนที่จะไปส่งเราทั้งสองที่สนามบิน ไม่ช้าทุกคนก็พร้อมกันที่รถ พ่อไปกับแม่สองคนด้วยรถที่พ่อเช่ามา ส่วนเราทั้งสองไปกับป้าและยาย โดยยายมากับชุดเก่งเหมือนเดิม น่ารักจริง ๆ ยายสะพายเป้ข้างหลัง ถือไม้ค้ำยัน และวันนี้มีกระป๋องโค๊กมาด้วย ฝ่ายแม่ก็ไม่ลืมที่จะเอาชีสแซนวิช ถั่วรวมมิตร และซาเลอรีตัดผสมกับเบบี้แครอท ใส่ในถุงซิปล็อค มาให้เราทั้งสอง บอกว่าไว้กินตอนรอเครื่องบินที่ชิคาโก ฟังแล้วทำให้คิดถึงแม่เราจริง ๆ ที่พกอาหารให้ลูกยามเดินทางไกล นี่แหละน้า ความเป็นแม่ก็คงไม่มีแบ่งสัญชาติ คงห่วงลูกเหมือนกันหมด แต่ถ้าเป็นแม่เราคงพกน้ำพริกมะขามผัดและไก่ทอด ทำนองนั้น ทำให้คิดถึงอาหารแม่ที่เมืองไทยขึ้นมาตงิด ๆ
ป้าขับรถซิ่งน่าดูแต่ก็ไม่วายบ่นว่าลูกสาวคือบริดเจ็ทขับรถแย่มาก พัตก็เลยกระซิบกับลีออง เป็นการนินทาลับหลัง (เพราะว่านั่งอยู่ด้านหนลังป้า ฮา ฮา) ว่าป้าก็ขับรถน่ากลัวนะ ลีอองพยักหน้าเห็นด้วย พัตรู้ว่าลีอองต้องเห็นด้วยเพราะเขาเองเป็นคนขับรถน่าเบื่อมาก เรียนบร้อยมาก ตามความเร็วที่กำหนดเป๊ะ ๆ ลีอองยังเคยว่าเราว่าเป็นคนขับรถแบบชาวกรุงเทพฯ ขนาดว่าพัตเป็นคนขับรถไม่ได้แย่มากนะ ก็ขับเกินความเร็วที่กำหนดนิดหน่อย ฉวัดเฉวียนนิดหน่อยตามจังหวะจราจร แต่ทุกครั้งลีอองนั่งรถที่พัตขับเขาก็เกิดอาการเวียนหัว หน้ามืดทุกครั้งไป
นั่งรถไปได้สักระยะ ยายก็ถามป้าว่า เขียนเช็คให้เราทั้งสองหรือยัง ปรากฏว่าป้าลืม ยายก็ทำหน้างอไปเลย อย่างที่บอกว่าทุกครั้งที่มาที่อริโซน่า ยายก็จะให้ป้าเขียนเช็คให้เราเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพราะยายไม่ต้องการให้หลานจ่าย ลีอองบอกว่า “Don’t worry, we’ll be fine ” แต่ยายก็ยืนยันว่าจะจ่ายให้โดยให้ป้าส่งเช็คตามมาทีหลัง ยายก็จะทำแบบนี้กับหลานทุกคน ยายบอกว่าแก่แล้วไม่มีโอกาสจ่ายเงินซึ่งเป็นเงินบำนาญจากสามีคือคุณตาของลีอองชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตไปนานแล้ว
ในที่สุดก็มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้สนามบิน พัตกับลีอองก็เดินประคองยายเข้าไปในร้าน ปรากฏว่ายายกับป้ารู้จักทุกคนในร้าน ผู้จัดการร้านเข้ามาทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วป้าก็แนะนำพัตกับลีอองเป็นภาษาอังกฤษ หน้าที่การสั่งอาหารก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของป้า วันนี้ป้ามีกิฟท์การ์ดจากลูกชายคือไบรอันมาช่วยจ่ายด้วย พัตก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าไปเจอกระเป๋าถือที่ถูกลืมไว้ ก็เลยเดินมาบอกที่เคาเตอร์ว่ามีคนลืมกระเป๋า เขาก็กล่าวขอบคุณพัต ก็รู้สึกดีที่ได้ทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดีอีกทางหนึ่ง เที่ยงนี้ป้าสั่งอาหารมาเยอะมาก แต่อย่างหนึ่งที่อร่อยเหาะ ไม่เคยทานปลาอะไรที่อร่อยมากแบบนี้มาก่อนเลย นั่นคือ Yellow fin tuna ที่ย่างจนได้ที่ หอมอร่อย โดยเฉพาะที่ครีบอร่อยมากที่สุด
แล้วเราทุกคนก็มาถึงสนามบินที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั่นแหละ เครื่องบินจะออกบ่ายสามโมง เราได้เช๊คอินและจองที่นั่งมาทางอินเตอร์เน็ทมาแล้ว ก็แค่แสดงตัวและเช็คอินกระเป๋าเท่านั้น ตอนนี้ก็แค่บ่ายโมงกว่า ๆ พ่อก็เลยขอตัวไปเดินเล่นรอบ ๆ สนามบิน ส่วนลีอองกับพัตก็ไปเช็คอินกระเป๋า ให้ป้ารออยู่กับแม่และยาย ไม่นานก็เห็นพ่อเดินกลับมาพร้อมกับหน้าตาที่ตื่นเต้นว่าเห็นศิลปกรรมบางอย่างน่าสนใจอยากให้ทุกคนไปดู และใครจะไปบ้าง ทุกคนก็จะไปกัน พัตก็เลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนคุณยาย เพราะรู้ว่ายายไม่ไป แม้ว่ายายจะมีอุปกรณ์ที่ช่วยในการเดิน ไม่รู้ว่ามีชื่อว่าอะไร แต่คล้ายกับรถนั่งไฟฟ้าของผู้สูงอายุ ใช้วางไว้ด้านหน้า จับและเข็นไปเพื่อช่วยพยุงในการเดิน
ระหว่างที่นั่งรอพวกเขา ยายก็เล่าให้ฟังพัตฟังด้วยภาษาอังกฤษบ้าง ภาษามือบ้างว่าตอนอยู่ญี่ปุ่น มีคอนโดมิเนียมอยู่ริมแม่น้ำที่เมืองเกียวโต คุณตาทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่และดื่มสังสรรค์กับลูกค้าบ่อย ทำให้คุณตาล้มป่วยลง ตอนคุณตาป่วยนอนอยู่ในโรงพยาบาล แม่กับลีอองที่มีอายุได้สามเดือนก็บินจากอเมริกาไปเยี่ยมด้วย เมื่อป้าลีอองได้แต่งงานกับชาวอเมริกันและย้ายมาอยู่อริโซน่าเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว จากนั้นแม่ของลีอองก็แต่งงานกับพ่อที่เป็นอเมริกันหลังจากที่พบกันที่ฝรั่งเศส และเมื่อคุณตาจากไป ยายก็เลยย้ายมาอยู่อเมริกากับลูกสาวทั้งสอง โดยได้ขายคอนโดนั้นไป อย่างไรก็ตาม คุณยายก็ยังโทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนที่ญี่ปุ่นทุกเดือน และยายก็มีเพื่อนที่อริโซน่าด้วย
พัตได้ยินเสียงพ่อหัวเราะมาแต่ไกล ๆ ว่าพัตกับยายสื่อสารกันได้อย่างไร แต่ดูเหมือนว่าคุยกันเข้าใจนะ พ่อคงสงสัยเพราะพัตไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ส่วนภาษาอังกฤษยายก็ท่อนแท่นเต็มที พัตก็เลยเล่าให้พ่อฟังว่าคุยอะไรกับยายบ้าง
เกือบบ่ายสองโมงแล้ว ได้เวลากล่าวลาเพื่อเข้าไปรอเครื่องบินด้านในสำหรับผู้โดยสาร ยายเริ่มน้ำตาคลอ พัตก็เลยบอกยายว่าให้รักษาสุขภาพแล้วค่อยมาเยี่ยมใหม่ ส่วนแม่กับพ่อบอกว่าแล้วค่อยเจอกันที่นิว ยอร์คเร็ว ๆ นี้ หลังจากลาทุกคนแล้ว เราทั้ง้สองก็เดินผ่านจุดตรวจความปลอดภัย ผ่านไปด้วยความเชื่องช้าเพราะสนามบินตรวจเข้มกว่าเดิมมาก อย่างที่บอกใกล้จะถอดเสื้อผ้าหมดตัวเข้าไปเต็มทีแล้ว เมื่อผ่านมาได้ มองไปด้านนอกยังคงเห็นทุกคนยืนโบกไม้โบกมืออยู่ คุณยายได้ส่งจูบมาด้วย
ระหว่างนั่งรอด้านในพัตก็หยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาบันทึกไปเรื่อย ๆ เพื่อกันลืม ได้กลิ่นกาแฟจากร้านใกล้ ๆ เกือบที่จะไปซื้อแล้ว แต่ก็ห้ามใจไว้ เพราะเพิ่งทานมาจากบ้าน พยายามลด ๆ อยู่ด้วย แต่ยิ่งพยายามลดมากเท่าไร ดูเหมือนว่าจะไปทางที่เพิ่ม ๆ ซะมากกว่า นี้แหละที่เขาเรียกว่าอาการติดกาแฟ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ลีอองก็ชอบทานกาแฟเช่นกัน จึงพากันดื่ม ไม่มีใครห้ามใคร รวมทั้งที่ทำงานเขาก็มีเครื่องทำกาแฟของสตาร์บัควางไว้บริการตลอดเวลา ยังเคยบอกลีอองว่าบริษัทยูเนี่ยมอมเมาพนักงานให้กระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา มองไปด้านนอกเห็นเครื่องบินของสายการบินเซาท์ เวสท์ มาจอดเทียบท่าที่ประตูของเราที่จะขึ้นเครื่อง แสดงว่าเครื่องก็ออกตรงเวลา ลีอองบอกว่าเรามีเวลาแค่สามสิบนาทีที่สนามบินชิคาโก เพื่อที่จะเดินไปยังประตูที่จะขึ้นเครื่องจากชิคาโกไปแมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์ หากเครื่องบินที่อริโซน่าไม่สาย ก็ไม่น่ามีปัญหาที่โน่น ขึ้นเครื่องได้พัตก็ปิดโน๊ตบุ๊คพักสายตา สักพักเครื่องขึ้นได้แล้วก็ได้ยินเสียงพนักงงานต้อนรับ “cheese cracker, peanuts, or pretzel “ คิดไปก็มีของว่างที่แม่ให้มา แต่คิดอีกทีเก็บไว้ทานตอนไหนก็ได้ ก็เลยเลือกเอา cheese cracker และ pretzel มองไปนอกหน้าต่างก็ได้ภาพนี้มา (รูป :ทะเลทรายจากมุมสูง)
เมื่อมาถึงสนามบินชิคาโก เปิดโทรศัพท์ดู พบว่ามีระบบเสียงฝากข้อความจากสายการบินเซาท์ เวสท์ว่า เครื่องบินที่จะไปแมนเชสเตอร์เปลี่ยนประตูจากห้าเป็นยี่สิบห้า ซึ่งไกลออกไปมาก เมื่อออกมาจากเครื่องได้จึงต้องวิ่งตัวปลิวเพื่อให้ทันเครื่องเที่ยวนั้น อยากเข้าห้องน้ำแทบแย่ แต่ก็ต้องทนไว้เพราะหากเข้าห้องน้ำตอนนี้มีหวังตกเครื่อง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเดินหาประตูไกลเท่าใด จากอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งก็เปลี่ยนเป็นร้อนจัดในฉับพลัน วิ่งไปก็ต้องถอดเสื้อโค๊ตออกไปด้วย เมื่อมาถึงประตูที่ต้องการได้เห็นผู้คนเริ่มเข้าคิวกันแล้ว บอกลีอองว่าพัตขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ให้ลีอองไปเข้าคิวรอ แต่ลีอองยืนยันว่าจะรอเราก่อน แล้วค่อยไปเข้าคิวด้วยกัน ปรากฏว่าห้องน้ำก็คิวยาวออกมาด้านนอกเช่นกัน แต่ก็ตัดสินใจรอ
เมื่อเข้ามาในเครื่องบินได้ ที่นั่งที่ที่เหลืออยู่ด้านข้างเราอีกที่ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามานั่งด้วยความเหนื่อยหอบคงวิ่งหาประตูเครื่องเช่นเดียวกับเรา แต่ที่ไหนได้ นั่งรอบนเครื่องได้ไม่นานก็มีเสียงประกาศว่าเครื่องจะออกสายประมาณหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากว่ามีการเปลี่ยนประตูแล้วทำให้การขนกระเป๋าจากประตูที่ห้ามาที่ประตูนี้ใช้เวลามาก เราก็นั่งไปมองคนขนกระเป๋าใส่ใต้ท้องเครื่องไป รู้อย่างนี้ไม่น่าจะวิ่งให้เหงื่อชุ่มหรอก คิดแล้วก็น่าห่วงว่าคงไปถึงนิวแฮมเชียร์เที่ยงคืนแน่ ๆ แล้วพรุ่งนี้ลีอองก็ต้องไปทำงาน รถที่จอดไว้ที่สนามบินก็ไม่รู้ว่ามีหิมะคลุมมากน้อยแค่ไหน ทางเข้าบ้านล่ะหิมะคงจะหนามากแน่ ๆ แล้วจะเอารถเข้าบ้านได้หรือไม่ สารพัดที่จะกังวล
แล้วก็มาถึงสนามบินนิวแฮมเชียร์เที่ยงคืนจริง ๆ โดยพัตลืมดูเวลา แต่เมื่อขึ้นรถชัตเทิ้ลบัสเพื่อที่จะมาที่จอดรถระยะยาว (long term parking) คนขับรถบอกว่าสวัสดีตอนเช้า เราก็เลยเอ๊ะตอนเช้าแล้วเหรอ ลีอองบอกว่าตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว คนขับรถก็ใจดี ช่วยยกกระเป๋าขึ้นและลง และบอกกับพัตว่า “you help yourself find the seat, I’ll take care of all bags” เมื่อมาถึงที่รถ คนขับก็บอกว่า “have a good day” เป็นการตอกย้ำว่าเช้าแล้วจริง ๆ เป็นการเริ่มวันใหม่แล้วจริง ๆ แต่เรายังไม่ถึงบ้านเลย
ที่รถโตโยต้า ราฟโฟร์ ที่จอดไว้ โชคดีมาก ๆ ที่ไม่มีหิมะเกาะเลย ส่วนรถคันอื่น ๆ มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด เป็นเพราะว่าเราจอดถูกทิศทางลม เพราะช่วงที่ผ่านมาลมพัดแรงมากจากการบอกเล่าของคนขับรถชัตเทิ้ลบัส หากว่าหิมะเกาะมากและทิ้งไว้นานก็จะกลายเป็นน้ำแข็งไม่สามารถที่จะเอาออกได้ง่าย ๆ ต้องสตาร์ทรถและเปิดเครื่องทำความร้อนรอเพื่อให้น้ำแข็งละลายจากกระจกก่อน แล้วเราทั้งสองก็โทรบอกป้าที่อริโซน่าว่ามาถึงสนามบินข้างบ้านแล้ว พวกเขากำลังดูทีวีและรอคอยโทรศัพท์ของเรา เพราะที่โน่นตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเท่านั้นเอง แล้วเราก็มาถึงบ้านด้วยความปลอดภัยและโชคดีอีกครั้งที่ทางเข้าบ้านมีหิมะไม่หนามากนัก ดูเหมือนมีร่องรอยของการกวาดออกไป ไม่แน่ใจว่าชาร์ลีเพื่อนบ้านมาทำให้หรือไม่
ลีอองจัดการเดินดูรอบ ๆ บ้าน เปิดเครื่องทำความร้อน เครื่องทำน้ำอุ่นหลังจากที่ปิดไว้ตอนที่ไม่อยู่บ้าน อุ่นซุปไก่ที่ทำแช่แข็งไว้ก่อนไปร เพื่อรองท้องและเราทั้งสองก็เข้านอนด้วยความเหนื่อยและง่วงเต็มที ลีอองจะตื่นไหวมั๊ยเนี่ย
ขอขอบคุณลีอองที่ให้กำลังใจในการบันทึกครั้งนี้ ทุกคนที่อริโซน่า และการเดินทางที่ปลอดภัย รวมทั้งคุณความดีของพ่อแม่ที่สั่งสอนมาให้เป็นคนดี
Thank you my hubby “Leon” Dad, Oka-san, Obaa-Chan&Chako-Obaa-Chan..of course my parents who raised me to be a decent person.
No comments:
Post a Comment